POWERED BY RAGING MECHANICS

Last updated: 24 ม.ค. 2566  |  1986 จำนวนผู้เข้าชม  | 

POWERED BY RAGING MECHANICS

ผมเพิ่งได้ข่าวการจากไปของ Mr. Roger Dubuis ผู้ก่อตั้งแบรนด์นี้ ด้วยวัย 80 ปี ไม่กี่วันหลังจากเดินทางกลับมาจากทริปอิตาลีครั้งนี้ นับเป็นข่าวการสูญเสียบุคคลสำคัญของแวดวงนาฬิกาอีกคนในรอบปีนี้ สำหรับผม มร.ดูบุยส์ เป็นช่างนาฬิกาที่ทำให้ผมเริ่มชอบและสะสมนาฬิกาแบบจริงจังขึ้นมา ด้วยความตั้งใจที่ว่า สักวันผมจะต้องก้าวสู่จุดที่ต้องได้เจอและรู้จักเจ้าของแบรนด์หรือนักประดิษฐ์นาฬิกาข้อมือที่ผมใส่อยู่ให้ได้ และ มร.ดูบุยส์ก็เป็นหนึ่งในคนที่ผมอยากพบมากที่สุดและอยากคุยด้วยมากที่สุด ซึ่งผมก็มีโอกาสได้พูดคุยหลายครั้ง ทั้งที่เจนีวาและที่สิงคโปร์

 

 

สิ่งหนึ่งที่ผมได้รับรู้คือ มร.ดูบุยส์โชคดีที่ได้ทำงานที่รัก เขามีความชื่นชอบเรื่องเครื่องกลไกตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะกลไกชิ้นเล็กๆ ของนาฬิกา หลังจากผ่านงานกับแบรนด์ใหญ่หลายแบรนด์ เป็นผู้ดูแลบริการหลังการขายให้ Longines นาน 9 ปี และได้ทำงานกับ Patek Philippe ในแผนกกลไกซับซ้อนนานกว่า 14 ปี ก่อนจะจับมือกับ Carlos Dias ดีไซเนอร์ฝีมือดังร่วมกันก่อตั้ง SOGEM - Société Genevoise des Montres ในปี 1995 และเปลี่ยนชื่อมาเป็น Roger Dubuis มาจนถึงทุกวันนี้ แม้แบรนด์ Roger Dubuis จะมีอายุเพียงแค่ 20 กว่าปี แต่ทุกชิ้นงานถูกคิดค้นพัฒนาโดยช่างนาฬิการะดับมาสเตอร์ ผู้เป็นประดุจตำนานอันยิ่งใหญ่ กลายเป็นผลงานที่นักสะสมทั่วโลกต้องการ โดยเฉพาะกลไกจักรกลที่ซับซ้อนและประณีต ขัดแต่งรายละเอียดทุกมุมอย่างพิถีพิถัน จนได้รับตราประทับ Poinçon de Genève ในทุกเรือน

บางช่วงของชีวิต มร.ดูบุยส์ ยังใช้เวลาในการสร้างนาฬิการ่วมกับแบรนด์อิสระที่เป็นเพื่อนในวงการ พร้อมกับเป็นที่ปรึกษาและทูตประชาสัมพันธ์ให้กับ Roger Dubuis รวมถึงให้แนวคิดในการผลิตนาฬิการ่วมกับฝ่ายออกแบบและช่างเทคนิค ซึ่งผลงานในคอลเลคชั่น Excalibur ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2005 และได้รับการพัฒนาต่อยอดมาหลายรุ่นก็เป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของเขาเช่นกัน

 

 

การเดินทางครั้งนี้ของผม มาเพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในการร่วมมือกันระหว่าง Roger Dubuis และ Lamborghini Squardra Corse สองแบรนด์ต่างสัญชาติที่เต็มเปี่ยมด้วยขุมพลังและจิตวิญญาณแห่งความแรงที่คล้ายกัน โดยใช้บ้านเกิดของรถซูเปอร์คาร์เป็นที่เปิดตัว โดยส่วนตัวแล้ว ผมเองค่อนข้างคุ้นเคยกับเมือง Sant’Agata Bolognese ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ Lamborghini เพราะมีโอกาสได้มาเยือนหลายรอบ และทดสอบเจ้ากระทิงดุมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่า ความแรงของเครื่องยนต์ที่มีกำลัง 500 กว่าแรงม้า ออกตัวจาก 0-100 กม./ชม.ในเวลา 3 วินาทีกว่าๆ มันช่างลงตัวกับกลไกจักรกลซับซ้อนชั้นสูงของ 2 รุ่นพิเศษของ Roger Dubuis รุ่น Excalibur Aventador S ที่เต็มพิกัดความแรงด้วยการหมุนของจักรกลอกคู่สุดอลังการ ในดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องยนต์ของ Aventador S และ Huracàn Super Trofeo EVO รุ่นใหม่นั่นเอง

Roger Dubuis ก้าวเข้าสู่โลกแห่งมอเตอร์สปอร์ตของความเร็วทางเรียบที่เร้าใจอย่างจริงจังมาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน และเมื่อตอนต้นปีก็เพิ่งประกาศเป็นพันธมิตรกับ Pirelli ผู้ผลิตยางรถยนต์ระดับโลก พร้อมกับเปิดตัวผลงานนาฬิการุ่นพิเศษในงาน SIHH 2017 ที่สร้างผลงานทรงพลังด้วยนวัตกรรมด้านวัสดุศาสตร์ ผสานให้ยางรถแข่งสูตรหนึ่งที่ Pirelli ผลิตให้กับแชมป์กลายเป็นส่วนหนึ่งของสายมาแล้ว ถึงครั้งนี้เป็นอีกก้าวของความร่วมมือกับซูเปอร์คาร์ที่ทรงพลังและความแรงอย่าง Lamborghini โดย Jean-Marc Pontroué – CEO ของ Roger Dubuis และ Stefano Domenicali ประธานและ CEO ของ Automobile Lamborghini ต่างบอกเล่าถึงความเหมือนของทั้งสองแบรนด์ต่างสัญชาติ ที่ทรงประสิทธิภาพเหนือชั้นจากการแสวงหาความเป็นเลิศ ทั้งในด้านการพัฒนากลไกจักรกลชั้นสูงและนวัตกรรมแห่งวัสดุศาสตร์ ตลอดจนความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียด ที่ทั้งสองแบรนด์มีอยู่ในทุกผลงาน

 

 

นอกจากผมจะได้มีโอกาสชมสายการผลิตรถ Lamborghini ภายในโรงงานอย่างใกล้ชิด พร้อมกับร่วมดินเนอร์ที่จัดขึ้นเป็นพิเศษภายในโรงงาน และในขณะที่ Lamborghini เปิดตัวผลงานซูเปอร์คาร์สุดหล่ออย่าง Huracán Super Trofeo Evo สำหรับฤดูกาล 2018 รถแข่งระดับ One-make race ที่พัฒนาจากรถ GT3 เพื่อการแข่งขัน ในดีไซน์สุดเฉียบ ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีความเบาและแกร่งเป็นเยี่ยม มาพร้อมขุมพลังการขับเคลื่อนของเครื่อง V10 5.2 ลิตร NA ที่ให้กำลัง 620 แรงม้า และเกียร์ซีเควนเชียล 6 สปีด ทำความเร็วได้สูงสุด 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในสนนราคาเริ่มต้น 295,000 เหรียญสหรัฐฯ ทางฝั่ง Roger Dubuis ก็นำ 2 ผลงานของ Excalibur Aventador S ที่ผลิตจำกัด 88 เรือน และผลิตจำกัดเพียง 8 เรือน ดูคล้ายกันมาก แต่ต่างกันด้วยสีดำ-เหลือง กับ ดำ-ส้ม รวมทั้งวัสดุตัวเรือน

 

 

Roger Dubuis Excalibur Aventador S Giallo Orion ที่ผลิตจำกัด 88 เรือน มาพร้อมตัวเรือนแนวสเกเลตันของ Excalibur Spider ขนาด 45.0 มิลลิเมตร มัลติเลเยอร์ที่ประกอบขึ้นจากคาร์บอนในกรอบโครงสร้างไทเทเนียมและแทรกด้วยยางคุณภาพสูงสีเหลือง ในขณะที่ Excalibur Aventador S Arancio Argos หรือ Argos Orange ผลิตจำกัดเพียง 8 เรือน ใช้วัสดุโลหะผสม C-SMC (carbon sheet moulding compound) ผลิตตัวเรือนและสะพานจักร กับโครงสร้างทำด้วยไทเทเนียม แทรกด้วยยางสีส้มคุณภาพสูง

 



พื้นหน้าปัดได้รับการปกป้องจากแซฟไฟร์คริสตัล วัสดุแกร่งซึ่งสามารถป้องกันรอยขีดข่วน ทั้งยังได้รับการเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนให้ดูเวลาได้ชัดตา เผยให้เห็นถึงโครงสร้างของชุดกลไกไขลาน คาลิเบอร์ RD103SQ ในดีไซน์ที่ได้แนวคิดมาจากเครื่อง V12 ซึ่งเป็นขุมพลังของ Lamborghini ตั้งแต่รถสปอร์ตรุ่นแรก 350GT ที่เริ่มสายการผลิตในปี 1964 กลไกจักรกลไขลานชุดนี้เป็นผลงานร่วมระหว่างช่างนาฬิการะดับมาสเตอร์ของ Roger Dubuis กับวิศวกรและนักออกแบบของ Lamborghini Design Studio พร้อมกับเสริมความเที่ยงตรงด้วยจักรสมดุลคู่ในแบบ Duotuor ที่หมุนบนแกน 90 องศา ทำงานด้วยความถี่ 2 x 4 เฮิร์ต เพื่อป้องกันแรงโน้มถ่วงที่จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของกลไก คล้ายกับกลไกตูร์บิยอง และคล้ายกับ Strut bars หรือค้ำโช๊ค ในเครื่องยนต์ของ Lamborghini นั่นเอง ซึ่งพัฒนาต่อจากกลไก Quatuor หนึ่งในที่สุดของนวัตกรรกลไกที่ใช้ชุดจักรกลอกถึง 4 ชุด ที่เคยสร้างชื่อให้กับแบรนด์มาแล้ว กลไกชุดนี้ประดับทับทิม 48 เม็ด สำรองพลังงานได้นาน 40 ชั่วโมง ประกอบด้วยชิ้นส่วนทั้งสิ้น 312 ชิ้น

 

 

ความท้าทายยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เมื่อ Dare to Rare กล้าที่จะเป็นของจริง งานขัดแต่งก็ต้องพร้อมสมบูรณ์แบบเพื่อให้ได้มาซึ่งตราประทับ Poinçon de Genève ซึ่งในเรื่องของวัสดุอย่างคาร์บอนหรือโลหะผสม C-SMC มีความแกร่งและลวดลายแตกต่าง การขัดแต่งให้ได้ความงามถึงระดับประทับตราได้จึงต้องใช้ความประณีตที่มากยิ่งกว่า ซึ่ง Roger Dubuis ได้วางมาตรฐานการขัดแต่งบนวัสดุคาร์บอนให้เป็นที่ยอมรับตั้งแต่ผลงานอย่าง Excalibur Spide Carbon Flying Tourbillon มาแล้ว เมื่อมาถึงผลงานพิเศษ 2 รุ่นนี้จึงรังสรรค์ความงามในระดับมาตรฐานชั้นสูงต่อเนื่องได้ ทั้งสองรุ่นมาพร้อมสายหนังที่ผสานสองวัสดุคือยางสีดำและ Alcantara วัสดุที่คล้ายผ้า แต่มีคุณสมบัติด้านกายภาพที่ดีกว่า ทั้งด้านการยืดตัวและเข้ารูป ซึ่งใช้หุ้มแผงหน้าปัดของ Lamborghini Huracán เช่นกัน พร้อมกับเย็บริมด้วยด้ายสีเหลืองหรือสีส้ม

ดูภาพรวมแล้ว ถ้า Roger Dubuis Excalibur Aventador S เป็นรถ ผมว่าก็น่าจะเป็น Lamborghini นั่นแหละครับ เหมาะที่สุดแล้ว

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้