Last updated: 2 ก.พ. 2565 | 1597 จำนวนผู้เข้าชม |
"ดวงอาทิตย์มีพลังที่จะสร้างและทำลายชีวิต ดวงจันทร์มีอิทธิพลต่อกระแสน้ำ และยังรวมถึงบทเพลงและความฝันของเราในยามค่ำคืน" Ludwig Oechslin
วันที่ 1 กุมภาพันธ์คือวันเริ่มต้นใหม่ของปฏิทินจีนตามจันทรคติหรือวันตรุษจีน ปี 2022 และเป็นวันเดียวกับที่ Ulysse Nardin เปิดตัวนาฬิกา Blast Moonstruck หนึ่งในผลงานรุ่นพิเศษของกลไกซับซ้อนทางดาราศาสตร์ในอดีตกับกลไกบอกเวลาโลกที่พัฒนาและผลิตขึ้นในโรงงาน บรรจุในตัวเรือนเปี่ยมเอกลักษณ์ของ Blast นำเสนอการผจญภัยบนท้องฟ้าครั้งใหม่ให้กับคนที่หลงใหลดวงดาว ด้วยกลไกจักรกลที่ได้รับการคิดค้นพัฒนาขึ้นใหม่ โดยจำลองวิถีโคจรที่มองเห็นได้ของดวงอาทติย์และวัฏจักรของดวงจันทร์ที่มีความเที่ยงตรงแม่นยำที่สุด นาฬิกา Blast รุ่นใหม่สืบเชื้อสายจากผลงานไตรภาคของนาฬิกาดาราศาสตร์ที่ได้รับการสร้างสรรคฺขึ้นเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว โดย Ludwig Oechslin ช่างนาฬิการะดับปรมาจารย์ ผู้นำเสนอองค์ประกอบของกลไกดาราศาสตร์ที่ทำให้ทุกคนเข้าใจในบทกวีของจักรวาลที่โอบล้อมเราไว้ ด้วยการแสดงผลที่ร่วมสมัยและใช้งานได้ง่าย
"ผมดีใจที่นาฬิกาของผมและนาฬิกาดาราศาสตร์ทำให้ผู้คนเข้าถึงตำแหน่งในจักรวาล และอาจจะทำให้ตระหนักได้ว่า เราไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล" Ludwig Oechslin
นาฬิกา Blast Moonstruck จำลองวัฏจักรของดวงจันทร์ที่ปรากฏขึ้นตามการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ที่โลกหมุนไปโดยรอบ เมื่อเราสังเกตุดวงจันทร์จากโลกและตามแผนภูมิน้ำขึ้นน้ำลง โดยได้รับการออกแบบมาเพื่อให้การหมุนรอบดวงอาทิตย์และการโคจรของดวงจันทร์เข้าใจได้ง่ายและชัดเจน การแสดงค่าของ Blast Moonstruck ที่เน้นจุดศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ทำให้เข้าใจได้ง่าย แม้แต่คนที่ไม่มีความรู้ด้านดาราศาสตร์มาก่อน
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวคือแผนที่สำหรับลูกเรือ เป็นสนามเด็กเล่นสำหรับคู่รัก และเป็นปฏิทินดั้งเดิมของอารยะธรรมทั้งหมด เมื่อมองจากพื้นดินจะเห็นดาวที่เต้นระบำทอแสงระยิบระยับ ทำให้รู้สึกว่าโลกมักเป็นศูนย์กลางของจักรวาลเสมอ มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นตัวกำหนดวัฏจักรของวัน เดือนและฤดูกาล นักดาราศาสตร์ต้องใช้ความสามารถในการถอดรหัสเพลงวอลซ์ที่รักษาเวลาได้เป็นอย่างดีนับตั้งแต่ยุคสำริด พวกเขาจัดทำหอดูดาวที่ทำให้แบ่งปฏิทินได้ใกล้เคียงที่สุด พวกเขาได้สร้างหลักไวยากรณ์แห่งสวรรค์มาหลายชั่วอายุคนแล้ว
“ทำไมต้องเป็นนาฬิกาดาราศาสตร์? เพราะทุกสิ่งที่มีวัฏจักรปกติสามารถทำซ้ำได้โดยใช้กลไกและอ่านค่าบนหน้าปัด เวลาที่ถูกรวบรวมไว้คือศิลปะของช่างนาฬิกา การปลดปล่อยมันเป็นปรัชญา ในทางหนึ่ง นาฬิกา Blast Monstruck ที่ห่อหุ้มเวลาแห่งดวงดาวไว้ แต่มันก็ได้ปลดปล่อยจิตใจของเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก” Ludwig Oechslin
ดาราศาสตร์ที่น่าดึงดูดใจ
Blast Moonstruck เช่นเดียวกับนาฬิกาที่รวบรวมข้อมูลด้านดาราศาสตร์อย่างละเอียด พยายามที่จะย่อส่วนจากนาฬิกาป้อมปืนที่น่าเกรงข้าที่สร้างขึ้นในช่วงปลายยุคกลาง โดยทำหน้าจอให้อ่านค่าและเข้าใจได้ง่าย ให้เป็นผลงานที่สืบทอดจากเครื่องมือทางดาราศาสตร์ในอดีตด้วยกลไกที่ซับซ้อน และมั่นใจได้ว่าเวลาโลกจาก 24 เขตเวลาที่ใช้ตั้งแต่อนุสัญญาวอชิงตันปี 1884 จะแสดงค่าอย่างถูกต้องแม่นยำ อีกทั้งการปรับตั้งเวลาด้วยปุ่มข้างตัวเรือนด้านซ้ายยังสามารถปรับตั้งเวลาหลักให้เดินหน้าหรือถอยหลัง 1 ชั่วโมงอย่างรวดเร็วอีกด้วย
Blast Moonstruck มาพร้อมความซับซ้อนของการแสดงเวลาข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์ที่เที่ยงตรงและแม่นยำสูง เมื่อรวมเข้ากับความซับซ้อนอื่นๆ ก็ทำให้เราสามารถติดตามเวลาที่แท้จริงของดวงอาทิตย์ในขณะที่โลกหมุนไปโดยรอบ และเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับหน้าปัด การแสดงเวลาดาราศาสตร์ที่เปี่ยมประสิทธิภาพนี้มอบให้กับผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่แสวงหานาฬิกาดีที่สุด และยังรวมถึงเหล่ากะลาสีเรือที่ผู้ผลิตได้รักษาความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นในปี 1846 และได้รับการออกแบบมาเพื่อสานต่อผลงานไตรภาคสุดอลังการที่ออกแบบโดย Ludwig Oechslin จากปี 1985 นาฬิกาเรือนนี้แยกการแสดงระบบสุริยะของ Copernican ที่ใช้แนวทางการวัดค่าจากจุดศูนย์กลางของโลกที่อ่านและทำความเข้าใจได้ง่าย
เพื่อตอกย้ำความรู้สึกนี้อันเป็นหัวใจของจักรวาลบนพื้นฐานของการอ่านค่านาฬิกา นักออกแบบได้ร่วมมือกับปรมาจารย์ Ludwig Oechslin เลือกที่จะวางซีกโลกเหนือที่มองเห็นจากขั้วโลกเหนือไว้ตรงกลางหน้าปัดบนแผ่นคริสตัลแซฟไฟร์ เพิ่มความน่าสนใจด้วยเอฟเฟกต์ 3 มิติและผนึกด้วยคริสตัลแซฟไฟร์ทรงกล่องที่ปกป้องวงแหวนทองคำ 18 กะรัตที่ได้รับการแกะสลักตัวเลขวันที่ 31 วันของเดือน ที่ชี้บอกด้วยเครื่องหมายสามเหลี่ยมขนาดเล็กเคลือบสารเรืองแสง
การแสดงเวลาโลก - เวลาที่สอง
ภายใต้โครงสร้าง 3 มิตินี้ แสดงถึงความแม่นยำและการออกแบบที่ร่วมสมัยที่เลื่องชื่อของคอลเลกชั่น Blast รูปทรงที่เพรียวลงช่วยให้อ่านค่าได้ง่าย แม้ในที่แสงน้อย เนื่องจากวัสดุเรืองแสงที่อยู่บนแผ่นกลาง แสดงเวลาท้องถิ่น และยังสามารถดูเวลาจากที่ต่างๆ ใน 24 เขตเวลาบนโลกได้อย่างง่ายดาย จากชื่อเมืองบนวงแหวนรอบหน้าปัด และสามารถปรับตั้งได้ง่ายให้เดินหน้าหรือถอยหลัง ด้วยกลไกที่ซับซัอนที่ Ulysse Nardin พัฒนาและใช้มาตลอด ควบคุมด้วยปุ่มกดสี่เหลี่ยมสองอันข้างตัวเรือนด้านซ้าย ฟังก์ชันเวลาโลกใช้ง่ายสะดวกและง่ายดาย มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางที่ชีพจรลงเท้า มาพร้อมความซับซ้อนของกลไกดาราศาสตร์ขั้นสูง
จักรวาลของโลกเต้นระบำจังหวะวอลซ์
สำหรับ Ludwig Oechslin ผู้ออกแบบนาฬิกาดาราศาสตร์ในยุค 80 ที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการผลิตมา และทีมพัฒนาของโรงงาน Ulysse Nardin นาฬิกา Moonstruck ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เป็นนาฬิกาซับซ้อนที่ไม่จำเป็น แต่เป็นนาฬิกาที่มีหน้าจอสมเหตุสมผลและมีประสิทธิภาพในการแสดงกลไกของระบบท้องฟ้าให้ทุกคนเข้าใจได้โดยง่าย
ตัวเรือนขนาด 45.0 มิลลิเมตร ทำด้วยเซรามิกสีดำและไทเทเนียมเคลือบดำด้วยเทคนิค DLC ประกอบกับสายหนังจระเข้ หรือสายยางสีดำ นอกจากจะแสดงเวลาที่สังเกตุได้จากพื้นหลังของท้องฟ้ายามค่ำที่แสดงด้วยแผ่นจานซึ่งทำจากอะเวนทูรีนแล้ว เวลาโลกยังอ่านค่าง่ายด้วยชื่อเมืองและจานหมุนที่มีดวงอาทิตย์ซึ่งหมุนไปโดยรอบ
นอกจากนี้ยังสามารถแสดงเวลาไทม์โซนที่สอง โดยเปลี่ยนการแสดงเวลาหลักให้เป็นเวลาต่างไทม์โซนได้ด้วยการปรับตั้งทีละชั่วโมงไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังด้วยแป้นกดสองตัวด้านซ้ายตัวเรือน สำหรับผู้ที่เกรงจะสับสนเวลาจากการอ่านเวลาโลก ตัวอย่างเช่น จากกรุงเทพฯ เมื่อเดินทางไปถึงซูริก แทนที่จะตั้งเวลาหลักให้เป็นกรุงเทพฯและดูเวลาซูริกจากระบบ World Time ก็สามารถปรับตั้งเวลาหลักให้เป็นเวลาของซูริกได้ง่ายๆ ขณะเดียวกันก็ดูเวลากรุงเทพฯจากระบบ World Time แทน ซึ่งสะดวกขึ้น และแน่นอนว่า ผลงานสุดซับซ้อนนี้ยังมาพร้อมการแสดงเวลาของดวงจันทร์ในลักษณะสมจริงโดยเชื่อมโยงเส้นทางการแสดงของดวงอาทิตย์แบบ 3 มิติที่ 12 นาฬิกา
การแสดงเวลาข้างขึ้นข้างแรมอย่างเที่ยงตรง
ทีมงานที่รับผิดชอบการสร้างผลงาน Moonstruck ได้ลือกภาพพระจันทร์ที่แสดงเวลาข้างขึ้นข้างแรมวางบนช่องหน้าต่างทรงกลมที่จะเคลื่อนไปในเส้นทางวงรีตามการแสดงวงโคจรของมัน ซึ่งอยู่ในระนาบสุริยวิถีเดียวโลก ด้วยเหตุผลด้านหลักการ หน้าต่างนี้จะมีแผ่นดิสก์ดวงจันทร์รูปดาวที่ขับด้วยชุดเกียร์ที่ซับซ้อน เพื่อให้การแสดงเวลาข้างขึ้นข้างแรมหมุน 1 รอบต่อวันตามดวงอาทิตย์ที่เป็นแหล่งกำเนิดแสงสว่างให้กับดวงจันทร์ และยังทำให้พระจันทร์เต็มดวงเมื่อโคจรรอบโลกในเวลา 29 วัน 12 ชั่วโมง 41 นาทีและ 9.3 วินาทีแทนระยะเวลาของเดือนทางจันทรคติ และแสดงเฟสของดวงจันทร์หรือที่เรียกว่า synodic rotation หรือ คาบไซโนดิกซึ่งระยะเปรียบเทียบการแปรคาบโคจรตามมาตรภูมิศาสตร์ระหว่างโลก-ดวงจันทร์-ดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดเป็นเฟสของดวงจันทร์ ซึ่งจะซ้ำรอบทุกๆ ช่วง 29 วัน 12 ชั่วโมง 44 นาที 2.9 วินาที
เพื่อรักษาความเที่ยงตรงของดวงจันทร์ หน้าต่างนี้จะแสดงภาพดวงจันทร์ในทุก 24 ชั่วโมงของการหมุนรอบด้วยมุมที่สอดคล้องกันในระดับ 1/29.53 ของจันทรคติที่สัมพันธ์กับการหมุนรอบดวงอาทิตย์ ทั้งภาพดวงจันทร์ในช่องหน้าต่างแบบเคลื่อนที่ยังพัฒนาให้ปรากฏแสงสว่างหรือหรี่แสงลงเล็กน้อยตามปฏิทินจันทรคติของข้างขึ้นข้างแรมได้อีกด้วย
นาฬิกา Blast Moonstruck เต็มไปด้วยความน่าอัศจรรย์โดยเป็นเครื่องมื่อที่สร้างขึ้นจากแนวคิดเกี่ยวกับระบบสุริยะของเรา ที่ไหนสักแห่งในจักรวาลอันกว้างใหญ่
แม้จะเต็มไปด้วยความซับซ้อนเชิงกลไก แต่การอ่านค่านั้นง่ายและสะดวก เช่นเดียวกับการปรับตั้งค่า เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดสามารถปรับตั้งด้วยเม็ดมะยม และปุ่มกดด้านข้างตัวเรือน ทั้งการตั้งเวลาปกติ เวลาโลกและเวลาต่างไทม์โซน ไปจนถึงวันที่ ซึ่งมาจากการทำงานของกลไกอัตโนมัติ คาลิเบอร์ UN-106 ทำงานด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง สำรองพลังงานได้นาน 50 ชั่วโมง ถ้าใส่ทุกวันนาฬิกาก็จะแสดงค่าได้อย่างเที่ยงตรง แต่ถ้าจะเก็บไว้นานๆ แนะนำว่าควรมีกล่องหมุนนาฬิกาสำหรับนาฬิกากลไกอัตโนมัติ เพื่อให้ระบบปฏิทินของดวงจันทร์ทำงานอย่างต่อเนื่องและไม่เสียเวลาตั้งใหม่
หน้าปัดอะเวนจูลีน: ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจากความ "บังเอิญ"
หากดวงดวงกระจายบนท้องฟ้าอย่างไม่เป็นระเบียบในจักรวาล อะไรจะดีไปกว่าหน้าปัดแร่สีน้ำเงินเข้มที่มีลายอันละเอียดอ่อนของ Blast Moonstruck ที่ได้รับการตกแต่งด้วยอนุภาคสีทองเล็กๆ แทนดาวบนท้องฟ้า
ตำนานของแร่อะเวนจูลีนถูกเล่าขานในศตวรรษที่ 13 บนเกาะ Murano ของเวนิส ที่บ้านของช่างทำแก้วผู้มีชื่อเสียง ช่างฝีมือที่บังเอิญทำตะไบทองแดงตกลงไปในหม้อหลอมแก้วและเกิดเป็นแก้วอะเวนจูลีนหรือ avventurine ในอิตาลีที่หมายถึง "บังเอิญ" เอฟเฟกต์บนแร่อะเวนจูลีนที่มนุษย์สร้างขึ้นนี้ทำให้มีลักษณะเหมือนประกายระยิบระยับบนพื้นผิวน้ำในมหาสมุทรที่ลูกค้ามักจะสังเกตุเห็นในยามค่ำคืน
Ludwig Oechslin
วิศวกรกลไกผู้นี้ ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ปี 1952 ที่ Gabicce Mare ในเมือง Marches ของอิตาลี เขากลายเป็นนักวิชาการหลังจากได้รับปริญญาด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์และภาษากรีกโบราณจากมหาวิทยาลับบาเซิลเมื่อปี 1976 ในปี 1983 เขาได้รับปริญญาดุษฏีบัณฑิตสาขาปรัชญาประวัติศาสตร์การวิจัยและการศึกษา (ฟิสิกส์เชิงทฤษฏี) และดาราศาสตร์ ระหว่างทำงาน จากมหาวิทยาลับเบิร์น และการฟื้นฟูสภาพทางโบราณคดีทางเทคนิคก่อนอุตสาหกรรมจากสถาบันเทคโนโลกยีแห่งสหพันธรัฐสวิสในเมืองซูกริก (ETHZ) ในปี 1995 ควบคู่ไปกับการศึกษาที่มากมาย เขายังเข้ารับการฝึกงานด้านการผลิตนาฬิกาและกลายเป็นช่างซ่อมนาฬิกาในปี 1984 และกลายเป็นช่างนาฬิการะดับปรมาจารย์ในปี 1993 หลังจากได้รับทักษะเหล่านี้ทั้งหมด และเช่นเดียวกับนักมานุษยวิทยาในยุคเรเนสซองส์ตอนต้น เขาสามารถรวบสาขาวิชาเหล่านี้เพื่อสร้างกลไกนาฬิกา รวมถึงความซับซ้อนด้านดาราศาสตร์ดั้งเดิม หรือผสมผสานโหมดการทำงานที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ตั้งแต่ปี 1983-1990 เขาได้พัฒนานาฬิกาให้กับ Ulysse Nardin เรือนแรกคือ Astrolabium Galileo Galilei กับอีกสองเรือนเพื่อสร้างผลงานไตรภาคที่ยังอยู่ตำนานอันยิ่งใหญ่ของสายอาชีพและเป็นเกณฑ์มาตรฐานของนาฬิกาดาราศาสตร์ที่มีความซับซ้อนสูง เขายังได้รับรางวัล Prix Gaïa ในปี 1995 จากการศึกษานาฬิกาดาราศาสตร์ขนาดใหญ่ และได้สร้างนาฬิกา Freak ในปี 2001 ซึ่งเป็นนาฬิกาเรือนแรกในประวัติศาสตร์การผลิตนาฬิกาที่รวมซิลิคอนเข้ากับกลไกจักรกล และปราศจากเม็ดมะยมและเข็มชี้บอกเวลา ผู้ชื่นชอบในการแสวงหาความรู้ยังเป็นภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์ International Museum of La Chaux-du-Fonds ในเมืองลาโช-เดอ-ฟง จากปี 2001-2014
ในเวลาเดียวกัน จิตวิญญาณแห่งการผจญภัยที่เติมเต็มความมีชีวิตชีวาให้กับหลักการผลิตนาฬิกาไหลผ่านตัวเขา ในปี 2006 เขาสร้างนาฬิกาแบรนด์ของตนเองในชื่อ Ochs und Junior ทุกวันนี้วิศวกรผู้รอบรู้ที่เป็นทั้งนักวิจัยและนักพัฒนาด้านการออกแบบยังคงเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และเปิดกว้างให้กับช่างนาฬิการุ่นใหม่ที่ต้องการความรู้ในกลไกซับซ้อนที่เข้าใจยาก ซึ่งเขามีส่วนในการอนุรักษ์เทคนิคและผลงานหายากเหล่านั้น
เกี่ยวกับดวงจันทร์และข้างขึ้นข้างแรม
Nicolaus Copernicus (นิโคลัส โคเปอร์นิคัส) นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์เกิดในปี 1473 และเสียชีวิตในปี 1543 คือผู้ปฏิวัติวงการดาราศาสตร์ด้วยการเสนอทฤษฏีเกี่ยวกับกฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ โดยดาวเคราะห์ทุกดวง รวมทั้งโลกของเรา โคจรรอบดวงอาทิตย์ ทฤษฎีที่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะหรือที่เรียกว่า Heliocentric (เฮลิโอเซนทริก) ถูกปฏิเสธมาเป็นเวลานาน เพราะมันขัดแย้งกับความคิดของคนยุคกลางและทางศาสนาที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ และโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ทฤษฏีของเขาต่อต้านความเชื่อที่มีอิทธิพลในเวลานั้น
ระนาบสุริยวิถี
นี่คือระนาบที่มีดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง โดยมีดาวเคราะห์โคจรโดยรอบ รวมทั้งโลกที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ เป็นเส้นสมมุติที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นพื้นฐานของระบบพิกัดที่ใช้ในการกำหนดตำแหน่งของดวงดาว ชื่อระนาบสุริยะถูกตั้งขึ้นเพราะอยู่ในระนาบที่สังเกตเห็นดวงอาทิตย์ ระนาบนี้ทำมุมเอียงกับเส้นศูนย์สูตรฟ้า ด้วยมุม 23° 26’ 13’’ หรือเรียกว่าความเอียงของสุริยวิถี ซึ่งสอดคล้องกับความเอียงของแกนหมุนของโลกและระนาบปกติของวงโครจรโลก ส่วนระนาบวงโคจรของดวงจันทร์เอียงกับระนาบสุริยวิถีเป็นมุมประมาณ 5° 08' 48''
ข้างขึ้นข้างแรม
หมายถึงส่วนของพระจันทร์ที่สว่างจากแสงของดวงอาทิตย์และสังเกตุเห็นจากพื้นโลก เนื่องจากดวงจันทร์โคจรรอบโลก รูปแบบของดวงจันทร์จึงเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา เดือนจันทรคติสอดคล้องกับวงโคจรที่สมบูรณ์แบบ โดยมีระยะเวลาเฉลี่ยในการโคจรรอบโลกอยู่ที่ 29 วัน 12 ชั่วโมง 44 นาทีและ 2.9 วินาที หรือ 29.53 วันโดยประมาณ
ดวงจันทร์หมุนรอบตัวมันเองพร้อมๆ กับการโคจรรอบโลก และโลกก็หมุนรอบตัวเองอย่างสมบูรณ์ใน 24 ชั่วโมง นั่นเป็นเพราะดวงจันทร์หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ในขณะที่หมุนรอบโลก 1 รอบ ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ในแบบเดียวกันเสมอซึ่งประกอบด้วย
New Moon: เดือนมืด คือระยะที่ดวงจันทร์อยู่ตรงกลางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ในทิศทางเดียวกัน โดยด้านที่รับแสงอาทิตย์หันไปจากโลก ดวงจันทร์จึงดูมืดสนิททั้งดวง และสัมพันธ์กับการเกิดน้ำขึ้นน้ำลงสูงสุด หรือที่เรียกว่าน้ำเกิด (Spring tide)
First Quarter: วันขึ้น 8 ค่ำกับจันทร์ครึ่งดวงแรก เป็นระยะที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งตั้งฉาก (โดยดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่ง 6 นาฬิกา และดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่ง 3 นาฬิกา) ดวงจันทร์จะอยู่ในระยะข้างขึ้นหรือ Waxing phase ภายใต้เงื่อนไขนี้ ระดับน้ำขึ้นน้ำลงจะเปลี่ยนแปลงน้อยหรือน้ำตาย (Neap tide)
Full Moon: ดวงจันทร์หมุนรอบโลกได้ครึ่งทางและด้านที่รับแสงอาทิตย์จะทับกันสนิทกับด้านที่หันเข้าหาโลก ทำให้เราเห็นดวงจันทร์ทรงกลมเต็มดวง และสัมพันธ์กับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงสูงสุดหรือน้ำเกิด
Third Quarter: จันทร์ช่วงสองหรือแรม 8 ค่ำ เมื่อดวงอาทิตย์ตั้งฉากกับดวงจันทร์ (โดยดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่ง 6 นาฬิกาและดวงจันทร์อยู่ด้านซ้ายของหน้าปัด) ดวงจันทร์จะแสดงข้างแรมและระดับน้ำขึ้นน้ำลงจะเปลี่ยนแปลงน้อยหรือน้ำตาย
21 พ.ย. 2567
21 พ.ย. 2567
21 พ.ย. 2567
21 พ.ย. 2567