URWERK - UR-120

Last updated: 8 ต.ค. 2565  |  940 จำนวนผู้เข้าชม  | 

URWERK - UR-120

ยกมือขึ้น หันฝ่ามือไปข้างหน้า พร้อมกับนิ้วมือที่แยกกันตรงกลาง จากนั้นจึงทักทายว่า «ขอให้ยั่งยืนและรุ่งเรือง!» มีมซึ่งกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหมู่เทรคกี้ (Trekkies) และแทบเรียกได้ว่าเป็นดั่งมรดกโลก กับคำทักทายที่ฟังดูคล้ายกับคำอวยพร ทั้งยังเป็นสัญญาณซึ่งกลายเป็นส่วนผสมผสานภายใน ดีเอ็นเอ (DNA) ของแบรนด์ URWERK (อูร์เวิร์ก) ด้วยความภาคภูมิใจในฐานะห้องปฏิบัติการแห่งเมืองเจนีวาที่บ่มเพาะไว้ด้วยมรดกอันยาวนาน และในวันนี้ กับการปรากฏเหนือแท่นเครื่องของผลงานรุ่นใหม่ใน อูอาร์-120 (UR-120) ที่ซึ่งการแสดงเวลาได้ถ่ายทอดถึงคำทักทายของชาววัลแคน (Vulcan) และนับเป็นความท้าทายครั้งล่าสุดสำหรับ Felix Baumgartner (ฟิลิกซ์ โบมการ์ตเนอร์) และ Martin Frei (มาร์ติน ไฟร) ในการพิชิตชัยชนะแห่งจักรกล และด้วยความหวังที่ว่าผลงานนี้จะดำรงอยู่อย่างยั่งยืนและรุ่งเรืองเช่นกัน

ณ จุดบรรจบของความก้าวหน้าล้ำสมัยทางเทคนิค การพัฒนาด้านการประดิษฐ์นาฬิกาและแรงบันดาลใจแห่งยุคอวกาศ UR-120 (อูอาร์-120) นับเป็นอีกขั้นของการเปลี่ยนแปลงทางสายพันธุ์อย่างต่อเนื่องของ URWERK โดยใน UR-120 นี้ได้ต่อยอดรหัสสร้างสรรค์ต่างๆ ของคอลเลกชัน UR-110 (อูอาร์-110) และสร้างรูปแห่งแนวคิดขึ้นมาใหม่ จากฝีมือของ มาร์ติน ไฟร ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของแบรนด์ที่ได้หวนคืนสู่เวทีแห่งความท้าทายครั้งใหม่ นับหลังจาก 11 ปี ที่ UR-110 ได้ชนะรางวัลงานออกแบบนาฬิกายอดเยี่ยม​ (Design Watch Prize) บนเวที GPHG  2011 มาแล้ว «ผมหลงใหลในผลงาน 110 กระนั้น ยังมีอีกหลากหลายวิถี ที่ผลงานนี้จะสามารถดำเนินต่อไปได้ และเพื่อรักษาให้ 110 ยังคงวิวัฒนาการไปต่อ...ซึ่งนั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจของนักออกแบบเสมอ กับกระบวนการที่ไม่มีวันสิ้นสุด» เหตุนี้ มาร์ติน ไฟร จึงเลือกย้อนคืนสู่กระดานภาพร่างดั้งเดิม «แนวคิดหลัก คือการทำให้บางยิ่งขึ้น ราบลื่นยิ่งขึ้น และสง่างามมากขึ้น ซึ่งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์นั้น เราได้ออกแบบระบบแซทเทิลไลต์ (satellite) ทั้งหมดขึ้นมาใหม่ โดยแต่ละการแสดงแบบแซทเทิลไลต์ ในวันนี้ได้ประกอบขึ้นจากสององค์ประกอบย่อย เพื่อสร้างซึ่งความบางยิ่งขึ้น ง่ายดายและสะดวกยิ่งขึ้นในการอ่านค่า และมอบความลื่นไหลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน»

การแสดงแบบแซทเทิลไลต์ใหม่ของ UR-120 นี้ ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 16.5 ล้านปีแสงจากโลกและในเบตาควอแดรนท์ (Beta Quadrant) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจดั้งเดิมของการแสดงเวลาภายในผลงานนี้ กับเข็มชี้แบบเปิดรูปทรง V ที่มีความดั้งเดิมมาจากยุคอารยธรรมของ Mr. Spock (มร. สป็อค) บนวัลแคน โดยอาศัยการเคลื่อนหมุนแบบโคจรหรือแซทเทิลไลต์ ซึ่งแยกเปิดออกเพื่อให้แต่ละระบบของแซทเทิลไลต์สามารถหมุนบนแกนของตัวเองได้ นับเป็นนวัตกรรมที่ยังไม่เคยมีมาก่อนและมอบประโยชน์อย่างมากในแง่ของความหนา

โดยผ่านการตีความลงสู่ขนาดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยสัดส่วนของความยาว 44 มม. กว้าง 47 มม. และหนา 15.8 มม. ที่ตัวเรือนของ UR-120 นี้โดดเด่นด้วยสัมผัสแห่งสรีระและการยศาสตร์อันสมบูรณ์แบบ กับความหนาสูงสุดซึ่งจรดกับจุดกลางของกระจกแซฟไฟร์และบนยอดโค้งอันนุ่มนวลอ่อนโยน ขณะที่ส่วนด้านบนของตัวเรือนนั้นมีความราบเรียบทั้งหมด ไร้ซึ่งสกรูหรือรอยร่องหยักแม้เพียงเล็กน้อย เพื่อมอบผลลัพธ์ของเส้นสายอันลื่นไหลอย่างสมบูรณ์แบบ


พลังขับเคลื่อน
วัตถุท้องฟ้าใหม่ล่าสุดในกลุ่มดาวของ URWERK นี้ อาศัยการทำงานของระบบแซทเทิลไลต์แบบแยก (splitting satellites) โดยภายในกลไก calibre UR-20.01 ประกอบไว้ด้วยกรงหมุนกลาง (central carousel) ที่ติดตั้งเข้ากับก้านแขนสามก้าน แต่ละก้านรองรับแซทเทิลไลต์หนึ่งชุด ขณะที่ทั้งสี่ด้านทั้งหมดของแซทเทิลไลต์นั้นๆ บรรจุไว้ด้วยมาร์กเกอร์บอกชั่วโมง ซึ่งเมื่อพ้นออกจากสเกลนาที และบรรจบกับส่วนด้านซ้ายของตัวเรือนแล้ว จะเป็นการเปิดกระตุ้นการทำงานของทริกเกอร์ (trigger) ซึ่งควบคุมการเปลี่ยนโฉมหน้าของแซทเทิลไลต์ และจากนั้นจึงเป็นการแสดงธรรมชาติอย่างแท้จริงของลำดับการเคลื่อนไหว (kinematic sequence) อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

แซทเทิลไลต์ซึ่งแยกเปิดออก พร้อมกับเผยให้เห็นสลักหรือสตั๊ด (studs) ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสองปุ่ม ได้สร้างรูปเป็นตัว ‘V’ และถ่ายทอดอีกครั้งถึงคำทักทายของชาววัลแคนที่ได้กลายมาเป็นชื่ออันแสนพิเศษของ UR-120 รุ่นนี้ โดยเมื่อแยกเปิดออก สตั๊ดทั้งคู่จะหมุนบนแกนของตัวเองและปิดลง เพื่อแสดงหน่วยของชั่วโมงใหม่

นอกจากนี้ ยังมีการปฏิวัติด้านเทคนิคจักรกลถึงสามประการที่เกิดขึ้นภายใต้ประทุนของยานอวกาศลำนี้ กับกรงหมุนรองรับแซทเทิลไลต์ซึ่งหมุนอยู่บนแกนกลาง ขณะที่แซทเทิลไลต์แต่ละตัวหมุนทวนกลับ เพื่อรักษาระดับความเที่ยงตรงและช่วยให้สามารถอ่านค่าได้ ขณะที่สตั๊ดแต่ละตัวหมุนบนแกนของตัวเอง

ในแง่มุมอื่นๆ ของการแสดงนั้น ยังคงความเป็นต้นตำรับดั้งเดิมของสายพันธุ์แห่ง URWERK ทั้งกรงหมุนแซทเทิลไลต์ที่เคลื่อนไปตามส่วนของสเกลนาทีซึ่งจัดวางอยู่บนด้านขวาของตัวเรือน โดยด้านที่แสดงผ่านแซทเทิลไลต์ รวมถึงตำแหน่งบนสเกลนั้นทำหน้าที่บอกชั่วโมงและนาที


พลังสร้างสรรค์
«ความจริงแล้ว เมื่อเรารู้ว่าเราวางแผนที่จะเปิดส่วนของแซทเทิลไลต์ออก ผมดีใจมากๆ» ฟิลิกซ์ โบมการ์ตเนอร์ ผู้ร่วมก่อตั้งและช่างนาฬิกามาสเตอร์ของ URWERK กล่าว «ความท้าทายอันยิ่งใหญ่สูงสุดของเรานั้นมักอยู่ที่การบริหารจัดการกับกำลังและพลังงานของจักรกล โดย ณ ช่วงขณะที่แซทเทิลไลต์แยกเปิดออกเป็นสัญลักษณ์ของการทักทายนี้ สปริงรูปทรงพิณ (lyre-shaped) จะเปิดออก และจากนั้นจึงปิดแซทเทิลไลต์ ดังนั้น การจัดการพลังงานจึงมีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนมาก เพราะเราจำเป็นต้องจัดการกับทั้งการเปิด และ การหมุนของสตั๊ด กระทั่ง สุดท้ายแล้วเราเลือกที่จะผลิตสปริงของเราเอง ภายในโรงงานของตนเอง ด้วยเพราะจำเป็นต้องผ่านหลากหลายขั้นตอนของการทดลองมากมายที่เกิดขึ้นในระหว่างการกำหนดรูปทรงและความหนาของสปริง และด้วยผลงาน UR-120 นี้ เราได้รับประสบการณ์ รวมถึงได้รับประโยชน์อันสำคัญในแง่ของความสามารถในการอ่านค่า โดยเฉพาะจากสตั๊ดเปิดเหล่านี้ ที่ช่วยให้สามารถขยายมาร์กเกอร์บอกชั่วโมงได้ใหญ่ขึ้นราว 35% เมื่อเทียบกับใน UR-110»

และเสมือนเป็นกฎ ที่ผลงานสร้างสรรค์ของ URWERK นั้นมักถูกสร้าง และได้ผลลัพธ์ของสัดส่วนมาจากข้อจำกัดทางเทคนิค โดยเฉพาะข้อจำกัดด้านพื้นที่และขนาดสำหรับการแสดง โดยหัวใจหลักที่เป็นดั่งธรรมชาติการสร้างสรรค์แห่ง URWERK นั่นคือความสามารถในการเปลี่ยนข้อจำกัดเชิงพื้นที่ไปสู่งานออกแบบ และโอกาสสำหรับการแสดงความสามารถในการประดิษฐ์นาฬิกา ซึ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีอันเป็นสากลในการจินตนาการ สร้างฝัน และพลังสร้างสรรค์ ที่พร้อมจะทำให้นาฬิกาพัฒนาขับเคลื่อนไปข้างหน้าเสมอ


หลักแห่งการยศาสตร์  
ณ ยอดสุดของระบบการประดิษฐ์นาฬิกาใหม่และด้วยขนาดใหม่นี้ ช่วยให้ UR-12 ถ่ายทอดได้ถึงองค์ประกอบของงานออกแบบใหม่มากมาย โดยมาร์ติน ไฟร ได้อ้างอิงถึงการแปลความหมายเฉพาะตัวที่ได้มาจากงานออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของ เฌรัลด์ ฌองตา (Gerald Genta) «ผมหลงใหลในวิธีการสร้างสรรค์โครงสร้างตัวเรือนของเขา โดยการผสมผสานเข้าด้วยกันระหว่างตัวเรือนด้านล่างและตัวเรือนด้านบน หรือหากกล่าวในเชิงเทคนิคแล้ว นับเป็นวิธีอันอัจฉริยะอย่างมาก» ด้วยเหตุนี้ ตัวเรือนของ อูอาร์-120 จึงประกอบขึ้นจากสองส่วนประสานเข้าด้วยกัน หรือเท่ากับการประสานระหว่างชิ้นส่วนของฝาหลังและขอบตัวเรือน ซึ่งเชื่อมต่อกันอย่างเรียบเนียน โดยการใช้สกรูด้านข้าง

อีกหนึ่งองค์ประกอบเพิ่มเติมด้านสัดส่วนและความลื่นไหลนี้ ยังมอบไว้โดยการประกอบด้วยหูตัวเรือนบน UR-120 ซึ่งแทบไม่เคยมีมาก่อนในคอลเลกชันผลงานสร้างสรรค์ของ URWERK นอกจากนั้น หูตัวเรือนนี้ยังเป็นแบบประกบติด ซึ่งภายในหูตัวเรือนด้านที่ตรงกับตำแหน่ง 6 นาฬิกา URWERK ได้ติดตั้งไว้ด้วยสปริง สำหรับใช้ยึดประกอบสายและผูกกระชับกับข้อมือ ส่วนวัสดุของสายยังเป็นอีกหนึ่งการเปิดตัวใหม่ โดยแทนที่จะเป็นผ้าเทคนิคตามประเพณีทั่วไป URWERK ได้เลือกใช้หนังวัว พร้อมทั้งพิมพ์ประทับนูนด้วยลวดลายนำวิถี หรือแบบบอลลิสติก (ballistic-type) ชวนให้นึกถึงสัมผัสของผ้าไนลอนถัก ขณะเดียวกันก็มอบซึ่งความสะดวกสบายและความยืดหยุ่นที่เหนือกว่า 


ผลงานรุ่นแรก

ซีรีส์แรกของ UR-120 นี้ มาพร้อมเครื่องแบบเฉดสีเทาเกือบทั้งหมด โดยส่วนของตัวเรือนด้านบนหรือขอบตัวเรือนนั้น ทำจากสตีลขัดแต่งแบบแซนด์บลาสต์ (sandblasted) อย่างประณีต ขณะที่ส่วนด้านล่างทำจากไทเทเนียมขัดแต่งแบบแซนด์บลาสต์ ซึ่งนับเป็นการเปิดประตูสู่ยุคใหม่แห่งงานออกแบบ ขณะที่ช่องหน้าต่างเล็กๆ มอบภาพการมองเห็นได้โดยตรงถึง วินด์แฟงเงอร์ (Windfänger) ชิ้นส่วนรูปดาวซึ่งควบคุมความเข้มข้นของการไขลานอัตโนมัติ และบนศูนย์กลางยังประกอบด้วยรูปเหรียญขนาดใหญ่ บรรจุไว้ด้วยงานตกแต่งสองประเภท ระหว่างร่องลึกทั่วบริเวณ และ ณ ตำแหน่ง 9 นาฬิกา ที่เป็นแผ่นโลหะประดับลวดลายโมโนแกรมของ URWERK ส่วนเม็ดมะยมรังสรรค์ขึ้นจากสตีล และสายในเฉดสีเทาเช่นกัน

ความต่อเนื่องของสไตล์โมโนโครมาติก (monochromatic) นี้ยังกระจายไว้ด้วยการตกแต่งของส่วนที่เป็นสีทอง ทั้งสัญลักษณ์มอลทิสครอส (Maltese crosses) รวมถึงสปริงรูปทรงพิณตกแต่งด้วยการเคลือบ PVD ทอง 24 กะรัต ตอกย้ำถึงมุมมองด้านเทคนิคอันอัจฉริยะของเรือนเวลานี้ ที่ไม่ต่างไปจากแรมเจ็ตขับเคลื่อนยานอวกาศ (Bussard ramjets) ซึ่งปรากฏอย่างเด่นสง่า ณ ด้านหน้าของเครื่องยนต์วอร์ป (warp engines) แห่งยานเอนเตอร์ไพรส์ (Enterprise)

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้