Last updated: 18 พ.ย. 2565 | 1429 จำนวนผู้เข้าชม |
TAG Heuer แบรนด์นาฬิกาชั้นสูงจากสวิส ร่วมกับ Porsche พันธมิตรสำคัญตั้งแต่ปี 2015 จนถึงปัจจุบัน จัดงานเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ TAG Heuer Connected Calibre E4 Porsche Edition เพื่อร่วมฉลองการแข่งขันรถ Formula E ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกและยังเป็นสนามสุดท้ายของฤดูกาลประจำปี 2021-2022 ที่มีนาฬิกา TAG Heuer เป็นผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการตลอดซีซัน รวมถึงยังร่วมสร้างทีม TAG Heuer Porsche Formula E Team กับพันธมิตรที่ขับเคลื่อนความหลงใหลในนวัตกรรมและความล้ำสมัย ที่เข้าร่วมการแข่งขันรถฟอร์มูล่าแห่งศตวรรษที่ 21 ด้วยรถพลังงานไฟฟ้า 100%
งานปาร์ตี้เปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ TAG Heuer Connected Calibre E4 Porsche Edition จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อาคารเอสเจ คุนซือทึฮัลเร (SJ. Kunsthalle) ในย่านชองดัมดงเฉิงดัมดงอันทันสมัย ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านบูติก TAG Heuer อยู่ใจกลางกรุงโซล มหานครที่สะท้อนถึงความทันสมัย โฉบเฉี่ยวและเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยความร่วมมือของสองพันธมิตร TAG Heuer และ Porsche ที่จับมือกันตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา ซึ่งการเปิดตัวในครั้งนี้ยังเกิดขึ้นพร้อมการแข่งขัน Formula E อันน่าตื่นเต้น ในช่วงสุดสัปดาห์แรกของการแข่งขันชิงแชมป์โลกรอบเดี่ยว ซึ่ง TAG Heuer เป็นหุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง ในโอกาสนี้ TAG Heuer ได้ใช้อาคารเอสเจ คุนซือทึฮัลเร (SJ. Kunsthalle) ในย่านชองดัมดงเฉิงดัมดงอันทันสมัย ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านบูติก TAG Heuer โดยเชิญทั้งแขกคนสนิท พันธมิตร สื่อ และบุคคลสำคัญของแบรนด์มาร่วมสัมผัสนาฬิการุ่นใหม่และความยิ่งใหญ่ของทั้งสองแบรนด์ที่มารวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ในงานนี้ยังได้แบรนด์แอมบาสเดอร์ Wi Ha Jun ( วี ฮา จุน ) นักแสดงชื่อดังจากซีรีส์เกาหลีเรื่อง Squid Game มาร่วมงานในครั้งนี้ ซึ่งวี ฮา จุน ที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงและนายแบบระดับแนวหน้าของโลกในปี 2021 โดยได้ปรากฎตัวในงานนี้พร้อมกับศิลปินเกาหลี Zico และ นักแข่งรถ TAG Heuer Porsche Formula E Team André Lotterer และ Pascal Wehrlein อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของค่ำคืนนี้คือการเปิดตัว ชุดเครื่องแบบของทีม TAG Heuer Porsche Formula E Team สำหรับช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยได้ประดับ 99X Electric ด้วยสีน้ำเงินและสีดำที่ถอดแบบมาจากตัวเรือน TAG Heuer Connected Calibre E4 – Porsche Edition อีกทั้งประกอบด้วยลวดลาย “Circuit” ของหน้าปัดนาฬิกาที่ให้ความโดดเด่น และด้วยรูปลักษณ์ใหม่ที่ไม่เหมือนใครนี้ รถแข่งพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดได้ทะยานสู่ถนนในยามค่ำคืนของกรุงโซลเพื่อแสดงพลังที่ไม่ธรรมดา พร้อมไปกับการถ่ายทอดภาพยนตร์สั้นที่ฉายสำหรับแขกคนพิเศษในคืนนั้น ผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาและยานยนต์ยังสามารถสัมผัสกับ TAG Heuer Connected Calibre E4 – Porsche Edition ได้อย่างใกล้ชิดในพื้นที่จัดแสดงอีกหนึ่งคุณสมบัติพิเศษของนาฬิกาคือสามารถเรืองแสงในที่มืด
George Ciz, ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ของ TAG Heuer กล่าวว่า "เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเฉลิมฉลองการเปิดตัว TAG Heuer Connected Porsche Edition Porsche กับ Porsche พันธมิตรผู้ใกล้ชิดของเรา และอะไรจะดีไปกว่าการแข่งขันรายการ E-Prix ที่จัดขึ้นสุดสัปดาห์แรกของโซล ซึ่งเราได้เห็นถึงการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นของความร่วมมือทั้งเรื่องเทคโนโลยี การออกแบบ ประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และการเชื่อมต่อให้มีชีวิตชีวามากขึ้นทั้งในและนอกสนามด้วยงานอีเว้นท์ที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้”
Holger Gerrmann ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของ Porsche Korea กล่าวเสริมว่า "Porsche และ TAG Heuer ไม่หยุดที่จะนำสิ่งที่ลูกค้าของเราชื่นชอบมากที่สุดมารวมกันทั้งความเป็นเอกลักษณืของทั้งสองแบรนด์, การแข่งขันกีฬาที่น่าตื่นเต้น, ประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ และการเติมเต็มความฝัน รวมถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นของทั้ง Porsche และ TAG Heuer ที่มีมาอย่างยาวนาน ผมมีความสุขมากที่เราได้สร้างสรรค์นวัตกรรมและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ต่างๆอย่างต่อเนื่อง” การเฉลิมฉลองการเปิดตัว TAG Heuer Connected Calibre E4 – Porsche Edition ในกรุงโซลจะโด่งดังไปทั่วโลก เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของแบรนด์ในด้านการผลิตนาฬิกาล้ำสมัย ความแข็งแกร่งและการผนึกกำลังที่เกิดจากความร่วมมือของแบรนด์ระดับโลกกับ Porsche ด้วยความร่วมมือนี้จะช่วยผลักดันขีดจำกัดของความคิดสร้างสรรค์ การเชื่อมต่อ และการออกแบบ อีกทั้งยังได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น และล้ำสมัย และมอบประสบการณ์ที่โดดเด่นเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่แห่งความเป็นเลิศในอนาคต
สำหรับนาฬิกา TAG Heuer Connected Calibre E4 – Porsche Edition โดดเด่นด้วยโทนสีดำและสีน้ำเงินที่ได้แรงบันดาลใจจาก Porsche Taycan ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด พร้อมคุณสมบัติการเชื่อมต่อที่พัฒนาขึ้นสำหรับเจ้าของรถยนต์ Porsche โดยเฉพาะ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้ขับ รวมถึงแอปกีฬาและสุขภาพที่มีเพิ่มให้ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของ TAG Heuer ตัวเรือนไทเทเนียมเคลือบดำขนาด 45.0 มิลลิเมตร ลงตัวกับข้อมือด้วยดีไซน์ข้อต่อตัวเรือนที่โค้งรับกระชับข้อ ตัวเรือนปัดด้านให้ความรู้สึกถึงความเป็นสปอร์ตสุดเท่ ส่วนขอบตัวเรือนทำด้วยเซรามิกสีดำขัดเงาประดับสเกล 0-400 สำหรับใช้คำนวณความเร็วของรถ Porsche หรือจะใช้คำนวณความเร็วรถอื่นก็ได้เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีหน้าปัดดีไซน์พิเศษแบบ Circuit สำหรับเจ้าของนาฬิกา หน้าปัดนาฬิกาสไตล์ Porsche มีให้เลือกตั้งแต่ TAG Heuer Connected รุ่นก่อนแล้ว แต่สำหรับรุ่นนี้จะมีหน้าปัด Circuit ใหม่ในโทนสีน้ำเงินไอซ์บลูที่ได้แรงบันดาลใจจากวงจรไฟฟ้า โดยคำนึงถึงรถ Taycan ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและนาฬิกา TAG Heuer Connected รวมถึงสนามแข่งด้วย หน้าปัดย่อยสไตล์โครโนกราฟ นอกจากจะใช้จับเวลาแล้วยังสามารถแสดงผลอื่น เช่น จำนวนก้าว อัตราการเต้นของหัวใจหรือข้อมูลที่ดึงมาจากรถ Porsche ทั้งรุ่นไฟฟ้าและปลั๊ก-อิน ไฮบริด โดยมีฟังก์ชันแสดงผลทั้งระยะไมล์สะสมทั้งหมดของรถ ระดับแบตเตอรี่ จำนวนไมล์ที่เหลืออยู่ก่อนแบตเตอรี่หรือน้ำมันรถจะหมด และทางลัดสู่แอพ Wear OS My Porsche ที่ช่วยให้เจ้าของรถสามารถควบคุมอุณหภูมิภายในรถได้อย่างรวดเร็ว รถ Porsche ที่สามารถเชื่อมต่อกับนาฬิการุ่นนี้ได้ก็เช่น Panamera (G2 II รุ่นปี 2022), Panamera (G2), Porsche 911 (922 รุ่นตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นไป). Porsche Cayenne (รุ่น E3 ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นไป), Cayenne (E2 II), 718, Macan II / III, Macan และ Taycan โดยระบบเชื่อมต่อจะปฏิบัติการผ่านแอพพลิเคชั่น Wear OS My Porsche
TAG Heuer Connected Calibre E4 – Porsche Edition บรรจุแบตเตอรี่ 430mAh ใช้งานได้ทั้งวัน ประมวลผลด้วยระบบ Wear 2 by Google จับคู่กับสายยางที่ดูเหมือนสายหนังพร้อมลายริ้วของสนามแข่ง พร้อมบานพับล็อกสายไทเทเนียม วางจำหน่ายตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป แบบไม่จำกัดจำนวนการผลิต
Formula E
The Future of Racing
เมื่อรถซูเปอร์คาร์มาพร้อมการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าที่ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่ไปด้วยกันได้ แต่ Porsche มองเห็นแนวโน้มของทิศทางในอนาคตที่จะเปลี่ยนแปลงไป ท่ามกลางการพัฒนาที่หลากหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นก็คือรถพลังงานไฟฟ้าที่เปิดตัวด้วยรุ่น Taycan ในปี 2019 และจับมือกับพันธมิตรอย่าง TAG Heuer แบรนด์นาฬิกาสปอร์ตชั้นนำระดับโลก ก่อตั้งทีม TAG Heuer Porsche Formula E Team ขึ้นและลงสู่สนามแข่งรถแห่งอนาคตที่ลดมลพิษด้วยพลังงานสะอาดในปี 2019 และต่อเนื่องมาถึงปี 2021-2022 ที่เพิ่งสิ้นสุดกับสนามสุดท้ายในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ แถมยังเป็นสนามที่ 100 ของ Formula E อีกด้วย แม้ไม่สามารถคว้าชัยชนะได้ในปีนี้ แต่ก็สร้างความตื่นเต้นในสนามได้อย่างเร้าใจไม่แพ้กัน
เป็นครั้งแรกที่ได้ดูการแข่งขัน Formula E ที่หลายคนบอกล่วงหน้าว่า มันไม่เร้าใจเหมือนกับการแข่งรถสูตรหนึ่ง Formula 1 แต่หลังจากเกาะขอบสนามและดูอย่างจริงจังเรียกว่าตื่นเต้นไม่เบาเลยทีเดียว แม้ความแรงรถจะยังแรงไม่เท่ารถสูตรหนึ่ง แต่ก็เรียกว่าเร่งความเร็วกันแต่ละรอบก็ไม่ธรรมดา โดยทำความเร็วสูงสุดที่ทำได้อยู่ประมาณ 140 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยพลังมอเตอร์ไฟฟ้า และแม้เสียงครางกระหึ่มจะไม่ดังเขย่าหัวใจ แต่เสียงวี้ดแหลมของเครื่องยนต์พลังงานไฟฟ้าก็ฟังแล้วหรูหราน่าตื่นเต้นคล้ายกับเสียงใบพัดของเครื่องบินโบอิ้งที่กำลังจะทยานขึ้นฟ้าเลยทีเดียว
Formula E อาจไม่คุ้นเคยสำหรับหลายคน แต่ความจริงเกิดขึ้นมานานกว่า 8 ปีแล้ว นับตั้งแต่ผู้จัดเริ่มเล็งเห็นถึงแนวโน้มความนิยมในรถพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาระบบไฟฟ้าที่ทันสมัยอย่างไม่หยุดนิ่ง แม้ว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้หรือ BEV (Battery Electric Vehicle) จะเพิ่มถูกผลิตในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจังเมื่อปี 2009 กับการเปิดตัวของ LEAF จากค่ายนิสสัน และปี 2015 ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่หลายประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปเริ่มขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงด้วยการผลักดันรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เป็นวาระแห่งชาติ ยิ่งมาถึงปีนี้ที่ปัญหาพลังงานกำลังเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขชองนานาประเทศ จากกรณีสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ส่งผลให้หลายประเทศที่คว่ำบาตรรัสเซียขาดแคลนพลังงานเพราะรัสเซียไม่ขายให้ ซึ่งแนวโน้มปัญหาพลังงานจากก๊าซและน้ำมันจะส่งผลกระทบในระยะยาว ทำให้พลังงานไฟฟ้ากลายเป็นทางเลือกสำคัญที่ต้องพัฒนาให้ใช้กับทุกสิ่งได้ในอนาคตอันใกล้ เพื่อทดแทนพลังงานดั้งเดิม
ย้อนกลับมาที่การแข่งขัน Formula E ที่เป็นอีกหนึ่งการพัฒนาจากแนวคิดพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน โดยเริ่มต้นแข่งขันครั้งแรกในปี 2014 กับชื่ออย่างเป็นทางการว่า ABB FIA Formula E Championship ภายใต้การผลักดันของ Formula E Holdings ที่ต้องการส่งเสริมมากกว่าการแข่งขันความเร็วทั่วไป ซึ่งการเลือกสนามแข่งขันในเมืองใหญ่ที่การจราจรค่อนข้างคับคั่งนั้นเป็นยุทธศาสตร์ของ Formula E Holdings ที่ต้องการโปรโมทคุณประโยชน์ของรถพลังงานไฟฟ้าไม่ใช่การดวลความเร็วกันในสนามแข่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบริโภคพลังงานในภาพรวมอีกด้วย
ในช่วงแรกๆ BMW i ได้เข้าร่วมเป็น Partner สนับสนุนการแข่งขันดังกล่าวในฐานะเป็นผู้นำแห่งนวัตกรรมรถไฟฟ้าและเป็น Official Vehicle Partner ให้การแข่งขันมาโดยตลอดซึ่ง BMW i8 ถูกรับเลือกให้เป็นรถยนต์ Safety car ตั้งแต่การแข่งขันครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน ใน Season 6 ซึ่งก็สอดคล้องกับนโยบายของแบรนด์เองที่เปิดตัว Sub-Brand ที่ชื่อว่า i ออกมาเพื่อขายรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เสียบปลั๊กรูปแบบอื่นๆ
เมื่อการแข่งขันเริ่มได้รับความนิยมและสนใจมากขึ้น ในที่สุด Formula E ก็ได้รับการผลักดันและสนับสนุนจากองค์กรการแข่งขันในด้านความเร็วระดับนานาชาติอย่าง FIA และถือเป็นการแข่งขันที่มีจัดแข่งอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
การแข่งขัน Formula E ในฤดูกาลแรกปี 2014 นั้นประกอบด้วยทีมแข่งทั้งหมด 10 ทีม มีนักขับจำนวนทั้งสิ้น 20 คน โดยก่อนที่จะเริ่มแข่งขันจริงนั้น ทาง Formula E Holdings จะจัดการแข่งขันแบบทดสอบระบบ เพื่อเตรียมความพร้อมของทุกทีมแข่งในช่วงปลายปีต่อไป
ในช่วงแรกของการแข่งขันอาจจะถือว่าค่อนข้างเงียบเหงา เพราะในตอนนั้นถือเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงผ่านตัวบริษัทรถยนต์เองก็ยังไม่ได้มีนโยบายที่ชัดเจนในการเดินหน้าไปสู่การขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า พวกเขายังมุ่งเน้นการพัฒนารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นหลัก ทำให้แบรนด์รถยนต์เมินการแข่งขันรายการนี้ ยกเว้น Nissan ซึ่งในตอนนั้นพวกเขาเปิดตัว LEAF รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตขายในเชิงพาณิชย์ ออกมาทำตลาด และทาง Nissan เองก็มีการเปิดตัวทีมโรงงานเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันรายการนี้ด้วย
บรรดานักแข่งที่เข้าร่วมการแข่งขัน Formula E ในช่วงแรกๆ แม้ว่าจะไม่ใช่พวกบิ๊กเนม แต่ก็ถือเป็นพวกที่ชื่อคุ้นหูโดยเฉพาะสำหรับใครที่ติดตามเรื่องราวของโลกความเร็วอย่างต่อเนื่อง เพราะนักแข่งส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่นักขับทดสอบในแวดวง F1 ก็เป็นพวกที่อาจจะหลุดจากตัวจริงของทีมแข่ง F1 และหันมาเป็นนักแข่ง Formula E แทน รวมถึงพวกที่รีไทร์จาก F1 เช่น Bruno Senna, Jarno Trulli, Sebastien Buemi หรือ Nick Heifeld
อย่างไรก็ตาม เมื่อโลกในความเป็นจริงเริ่มมีความชัดเจนว่ากำลังเดินหน้าไปสู่การขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้ามากขึ้น การแข่งขัน Formula E ก็เริ่มขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง จนในปัจจุบัน สำหรับการแข่งขันปี 2022 มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันจำนวน 11 ทีมและมีนักแข่งรวมทั้งสิ้น 22 คน โดยมีทีมหน้าใหม่ๆ โดยเฉพาะจากผู้ผลิตรถยนต์ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และที่น่าสนใจสุดคือ การมีทีมแข่งจากจีน ที่ได้ชื่อว่าเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายสูงที่สุดในโลก เข้ามาร่วมได้ นั่นคือ NIO 333 Formula E Team
ส่วนอีกทีมที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ การเข้ามาของแบรนด์ซูเปอร์คาร์อย่าง Porsche ที่เริ่มรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วยรุ่น Taycan และต้องการนำความสำเร็จในสนามแข่งไปใช้ต่อยอดในด้านมาร์เกตติ้งเพื่อกระตุ้นยอดขายของตัวเองอีกที
สำหรับการแข่งขันครั้งล่าสุดประจำปี 2021-2022 กับ 11 เรซ ใน 15 สัปดาห์ และ 16 สนาม จากโมนาโคในเดือนเมษายน ไปจบที่กรุงโซลในเดือนสิงหาคม เป็นการเปิดประสบการณ์ครั้งแรกกับการแข่งขันรถสูตรไฟฟ้า เมื่อ TAG Heuer ได้ชวนเราเข้าร่วมการเปิดตัวนาฬิการุ่นพิเศษ TAG Heuer Connected Calibre E4 ที่ผลิตขึ้นสำหรับทีม TAG Heuer Porsche Formula E Team โดยมี Wi Ha Jun (วีฮาจุน) แบรนด์แอมบาสเดอร์สุดหล่อขับรถแข่งฟอร์มูล่าอีของทีมเข้ามาในงาน พร้อมกับพาไปเกาะขอบเลนชมการแข่งขันสนามที่ 15 ก่อนสนามสุดท้ายในรายการ Seoul E-Prix ที่สนาม Jamsil Sports Complex ปิดเมืองซิ่งรถไร้น้ำมันกันอย่างเร้าใจสุดๆ ปีนี้ ทีมแข่ง Mercedes-Benz คว้าแชมป์ไปครอง
ถึงแม้ TAG Heuer Porsche Formula E Team จะไม่ได้แชมป์สนามรวม แต่ก็ยังสามารถคว้าชัยในสนามที่ 3 ที่กรุงเม็กซิโกมาแล้ว ปีหน้าเห็นว่า Formula E กำลังจะเปิดฤดูกาลใหม่ 2022-2023 ในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ โดยเริ่มที่กรุงดิริยาห์ ซาอุดิอารเบีย โดยฤดูกาลนี้ที่มีชื่อเต็มๆ ว่า ABB FIA Formula E Championship 2022-2023 นอกจากจะใช้รถไฟฟ้า 100% ในการแข่งขันแล้ว ยังต้องผ่านการติดตามและการตรวจสอบในความเป็นกิจกรรมยั่งยืนหรือ Sustainable events certification ตามมาตรฐาน IWO 20121 ที่พิจารณาจากการใช้พลังงานและการปล่อยคาร์บอน การเดินทาง การขนส่งรถเพื่อเข้าแข่งขัน ไปจนถึงการอาหารและเครื่องดื่ม ต้องอยู่ในหลักการตามข้อกำหนดที่เข้มงวดด้วย นับว่าเป็นการแข่งขันเพื่ออนาคตของมนุษยชาติอีกหนึ่งรายการที่น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง ใครที่ชอบความเร็ว และรักษ์โลก ก็น่าเปิดใจให้กับการแข่งรถ Formula E สักครั้ง ดูสนามจริงก็สนุกและตื่นเต้นไม่แพ้กันเลย
21 พ.ย. 2567
22 พ.ย. 2567
23 พ.ย. 2567
23 พ.ย. 2567