TAG HEUER - Monaco Split-Seconds Chronograph for Only Watch

Last updated: 3 ก.ค. 2566  |  714 จำนวนผู้เข้าชม  | 

TAG HEUER - Monaco Split-Seconds Chronograph for Only Watch

TAG Heuer ผู้นำอุตสาหกรรมการผลิตนาฬิกาลักซ์ชัวรี่ด้วยภาพลักษณ์ที่ใส่ใจในความแม่นยำและการออกแบบที่ล้ำสมัย เข้าร่วมการประมูลนาฬิกาของปี 2023 ในงานประมูลนาฬิกา Only Watch พร้อมกับนาฬิกา TAG Heuer Monaco Split-Seconds Chronograph สำหรับงาน Only Watch โดยเฉพาะ ความพิเศษของนาฬิการุ่นนี้คือการใช้กลไกรูปแบบใหม่ของเมซง นาฬิกาเรือนนี้นับเป็นความแปลกใหม่ที่ไม่เหมือนใคร เป็นที่จับตามองสำหรับผู้เชี่ยวชาญและนักสะสมนาฬิกา ไม่เพียงแต่การพัฒนาด้านเทคนิคและการออกแบบที่พิเศษ แต่ยังรวมถึงการแสดงออกถึงคาแรคเตอร์จากการรังสรรค์นาฬิกาเรือนนี้

ตัวเรือนไทเทเนียมถือเป็นนาฬิกา Tour de Force ชิ้นเอกในอุตสาหกรรมการผลิตนาฬิกาที่โลดแล่นมานานกว่า 163 ปีของ TAG Heuer ในขณะเดียวกันก็ได้รวมกระบวนการผลิตที่ดีที่สุดและนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 เช่นกัน โดยนาฬิกาที่เป็นเอกลักษณ์เรือนนี้ จะถูกนำไปประมูลในงาน Only Watch ปี 2023

“ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของงาน Only Watch อีกครั้ง เพื่อสนับสนุนงานวิจัยสำคัญด้านโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงดูเชนน์ และขอบคุณ Luc Pettavino รวมถึงทีมที่เปิดโอกาสให้เราได้เข้าร่วมงานอันทรงคุณค่านี้ในการผลิตนาฬิกาอย่างไร้ขีดจำกัด และในปีนี้ เราขอนำเสนอ TAG Heuer Monaco Split-Seconds Chronograph สำหรับงานประมูล Only Watch โดยนาฬิกาเรือนนี้สะท้อนถึงการพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่มีสิ้นสุดซึ่งสามารถตีความได้จากตัวเรือนนาฬิกาของตระกูล Monaco และกลไกคาลิเบอร์ TH81-00 ที่ออกแบบมาอย่างน่าเหลือเชื่อ นอกจากนี้ นาฬิกาเรือนนี้ยังแสดงออกถึงความทุ่มเทของเราในการก้าวข้ามขีดจำกัด และทางเราตั้งตารอการเข้าร่วมการประมูลนาฬิกาครั้งนี้และต้องการใช้โอกาสนี้ในการสร้างความเปลื่ยนแปลงใหม่ที่มีความหมายร่วมกัน” Frédéric Arnault ซีอีโอของ TAG Heuer กล่าว

วิวัฒนาการของเวลา
ประวัติศาสตร์อันยาวนานของนาฬิกา TAG Heuer’s Split-Seconds Chronograph มีมาเป็นเวลาศตวรรษ ตั้งแต่ต้นปี 1900 ทางแบรนด์ได้เริ่มมุ่งเน้นในการให้ความสำคัญในการใช้โครโนกราฟเป็นส่วนประกอบของนาฬิกา และแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างอิงมาจากนาฬิกาจับเวลาและตัวจับเวลาแดชบอร์ด จนกลายเป็นนิยามของประวัติศาสตร์การเปิดตัวอุปกรณ์จับเวลาไมโครกราฟในปี 1916 ซึ่งได้ปูทางให้เมซงของ TAG Heuer ได้เข้าร่วมในฐานะอุปกรณ์จับเวลาที่เป็นที่นิยมในการแข่งขันโอลิมปิกในช่วงปี 1920 และ 1930

นับเป็นครั้งแรกของอุปกรณ์จับเวลาที่สามารถจับเวลาได้ 100 ครั้งต่อวินาที อุปกรณ์ไมโครกราฟได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบที่สมบรูณ์จนกลายมาเป็น ไมโครสปลิต ที่สามารถจับความเร็วได้แม่นยำภายในเสี้ยววินาทีหรือเรียกว่า ‘Rattrapante’ โดยสามารถจับความเร็วได้แมนยำถึง 100 ครั้งต่อวินาที

ปี 1960 นาฬิกาจับเวลาของ Heuer ได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญของพื้นที่ซ่อมบำรุงในกีฬามอเตอร์สปอร์ต อีกทั้ง นาฬิกาที่โดดเด่นเหล่านี้ มาพร้อมตัวเรือนนาฬิกาสีแดงขนาดใหญ่ และโชว์ให้เห็นถึงฟีเจอร์ที่น่าจดจำ เช่น โมเดล 11,402 ที่มีฟังก์ชันบอกเวลาและการจับเวลาโครโนกราฟแบบ Rattrapante ที่สามารถจับเวลาได้อย่างแม่นยำแบบ 10 ครั้งต่อวินาที และกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นหลังจากที่ Jean Campiche พนักงานของ TAG Heuer ที่ได้รับมอบหมายในการรับผิดชอบการจับเวลาของทีมแข่งรถสกูเดเรียแฟร์รารีได้นำไปใช้ ในขณะที่ปฏิบัติงานที่สนาม Le Mans Centigraphe และได้นำไปสวมใส่ให้กับนักแข่งรถที่ Jean ได้รับหน้าที่ดูแล

ปี 1989 มีการเปิดตัวคอลเล็กชั่นใหม่ S/EL โดย TAG Heuer ได้นำเสนอนาฬิกาข้อมือ Quartz Split Seconds Chronograph ซึ่งนาฬิการุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากและกลายเป็นสัญลักษณ์ของตำนานการแข่งขันรถจากการใช้งานของนักแข่งมากมาย อาทิเช่น Ayrton Senna และ Michael Schumacher รวมถึง Gerhard Berger ในช่วงปี 1990

ในปี 2021 ทางแบรนด์ได้นำเสนอคอลเล็กชั่นผลงานชิ้นเอกล่าสุดกับนาฬิกา TAG Heuer Monaco Only Watch Carbon Monaco และเป็นที่ตั้งตารอในปี 2023 ที่กำลังจะมาถึงนี้ การเดินทางของ TAG Heuer ยังคงดำเนินต่อไปและเตรียมเปิดตัว TAG Heuer Monaco Split-Seconds Chronograph รุ่นแรกสำหรับงาน Only Watch ที่จะเติมเต็มประวัติศาสตร์อันยาวนานและคอลเล็กชั่นสุดพิเศษนี้เช่นกัน

วิวัฒนาการของการออกแบบ
ในปี 1969 นับตั้งแต่การเปิดตัว TAG Heuer Monaco ยังคงถือว่าเป็นไอคอนแห่งความคอนทราสต์ที่ลงตัวมาโดยตลอด ด้วยตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมสุดคลาสสิคของนาฬิกาที่ผ่านการพ่นสเปรย์และขัดเงา หน้าปัดสีน้ำเงินที่ตกกระทบกับแสง ชวนให้นึกถึงชายฝั่งทะเลที่โกตดาซูร์ (Côte d’Azur) และเข็มทรงสี่เหลื่ยมผืนผ้าตามแบบฉบับดั้งเดิม นาฬิการุ่น Monaco นี้ แสดงถึงทิศทางออกแบบใหม่โดยสิ้นเชิงในโลกอุตสาหกรรมนาฬิกา ที่จะสร้างเส้นทางใหม่ที่เป็นแบบอย่างให้เดินตาม นอกจากนี้ นาฬิกาเรือนนี้ยังแสดงถึงสุนทรีย์ของความล้ำสมัยที่ไม่สามารถคาดเดาได้ โดยอ้างอิงจากต้นแบบ 1133 ที่ได้รับการยอมรับจากนักออกแบบที่มีวิสัยทัศน์ อาทิเช่น Sammy Davis Jr และ Stanley Kubrick และแน่นอนว่านักออกแบบอย่าง Steve McQueen ก็ยอมรับผลงานนี้เช่นกัน

ส่วนกลางตัวเรือนถูกลดมวลและปริมาตร ผ่านกระจายน้ำหนักไปยังตัวกระจกคริสตัลและการฝาหลังทำให้เกิดรูปลักษณ์แบบไฮบริดที่ไม่เหมือนใคร ที่สะท้อนการผสมผสานระหว่างวัสดุไทเทเนียมและแซฟไฟร์ นาฬิการุ่นนี้ยังมีเอกลักษณ์โดยใช้ไทเทเนียมชนิดพิเศษคือ “Texturized Titanium” ที่สร้างความโดดเด่นจากเอฟเฟกต์ของคริสตัล อีกทั้งยังเพิ่มความแข็งแรงของพื้นผิวที่สามารถป้องกันรอยขีดข่วน ในขณะเดียวกันก็ยังสร้างมุมมองที่มีมิติเมื่อตกกระทบกับแสง

นาฬิกา TAG Heuer Split-Seconds Chronograph ที่นำมาประมูลในงาน Only Watch ประกอบไปด้วยแซฟไฟร์ทั้งหมด 4 ชิ้น โดยฝาหลังตัวเรือนสะท้อนให้เห็นถึงความโดดเด่นของกลไกที่เห็นได้อย่างชัดเจนต่างจากนาฬิกาทั่วไป นอกจากนี้ ตัวหน้าปัดยังแสดงถึงโครงสร้างการออกแบบภายในนาฬิกาที่น่าเหลือเชื่อ ทำให้มั่นใจได้ถึงความชัดเจนในการบอกเวลาที่แม่นยำ ในขณะที่สร้างความรู้สึกของมิติและความลึก

การไล่ตามของนวัตกรรม
นำโดยวิสัยทัศน์ของคุณ Carole Kasapi ผู้อำนวยการด้านกลไกของแบรนด์ TAG Heuer และผู้เป็นตำนานของอุตสาหกรรม โดยในทีมประกอบไปด้วยผู้มีความสามารถด้านกลไกของภายในบริษัทและซัพพลายเออร์ที่ดีที่สุดของ TAG Heuer ที่ได้ริเริ่มและสร้างสรรค์จากแรงบันดาลใจจนกลายมาเป็นนาฬิกาสำหรับงานประมูล Only Watch ทั้งนี้ ด้วยความเป็นมืออาชีพของ Kasapi ได้กระตุ้นให้ทีมเกิดความท้าทายในการจำกัดความใหม่สำหรับการสร้างกลไกนาฬิกาในนิยามรูปแบบโครโนกราฟของ TAG Heuer

หัวใจหลักของ TAG Heuer Monaco Split-Seconds Chronograph อันเป็นเอกลักษณ์ สำหรับงาน Only Watch นาฬิการุ่นนี้ได้ใช้กลไกจับเวลาแบบเสี้ยววินาที โดยเปิดตัว TH81-00 ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงจุดยืนที่แท้จริงของ TAG Heuer ในการมุ่งเน้นด้านความแม่นยำและการใช้เทคนิคอย่างชาญฉลาดที่ได้ร่วมพัฒนากับผู้ผลิต Vaucher จนกลายมาเป็นกลไกใหม่ที่แสดงถึงความสมบูรณ์แบบสมกับการเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมนาฬิกา

นับว่าเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่ผสานความเชี่ยวชาญด้านการผลิตนาฬิกาในสวิสเซอร์แลนด์ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีล้ำสมัย อีกทั้ง กลไกจับเวลาเชิงกลแบบ Rattrapante ยังมีความประณีตและซับซ้อนโดยเสริมฟังก์ชันโครโนกราฟ ซึ่งถือได้ว่าเป็น ราชาแห่งความซับซ้อน เนื่องจากความท้าทายในการผลิตกลไก ซึ่งสามารถวัดเวลาแยกสองช่วงเวลาพร้อมกันซึ่งเป็นฟังก์ชั่นพิเศษเหนือความคาดหมาย ไม่ว่าจะเป็นจับเวลาในรอบเวลาบนสนามแข่งหรือติดตามการแข่งขันกีฬาหลายรายการ กลไกแบบ Rattrapante ยังให้ความแม่นยําและมีความสามารถที่เหนือใคร

และในฐานะที่เป็นกลไกโครโนกราฟอัตโนมัติที่เบาที่สุดเท่าที่เคยมีมาของ TAG Heuer ผลิตจากไทเทเนียม กลไกรุ่น TH81-00 นี้ ถูกตกแต่งอย่างลงตัวต่างจากเดิม สรรสร้างโดยช่างฝีมือจาก Artime ที่มาพร้อมลายหมากรุกซิกเนเจอร์ (graté damier) การทำงานของกลไกนาฬิกาขัดเงาเสริมสีดำ การทำขอบและมุม แทรกวงกลมซ้อนกัน และพ่นสีสเปรย์ตกแต่งอีกครั้ง ถูกใช้เวลานานกว่า 12 ชั่วโมงในการรังสรรค์ แสดงให้เห็นถึงความพิถีพิถันในการผลิตอย่างแท้จริงจากการตกแต่งที่สวยงาม

ทั้งนี้ ความบางเบาของกลไกโครโนกราฟอัตโนมัติช่วยเสริมความโดดเด่นพร้อมกับตราประทับของ TAG Heuer อันเป็นเอกลักษณ์ ดีเทลของนาฬิกาที่สง่างามถูกตกแต่งด้วยสีสันที่เป็นทางการโดยเฉพาะสำหรับ Only Watch ในปี 2023 นี้ — ด้วยสีที่น่าหลงใหลอย่าง สีแดง สีน้ำเงิน และสีเหลือง ซึ่งมีการลงสีด้วยมืออย่างบรรจงโดยช่างฝีมือ André Martinez

หนึ่งเดียวเฉพาะงาน Only Watch เท่านั้น
Only Watch ก่อตั้งในปี 2005 โดย Luc Pettavino และภายใต้การอุปภัมภ์ของเจ้าชาย Albert ที่สองแห่งโมนาโก โดยมีความตั้งใจร่วมกัน คือ การรวบรวมกองทุนในการดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงดูเชนน์ผ่านการจัดงานประมูลนาฬิกา

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยการก่อตัวอย่างเข้มแข็งและการสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากภายในแวดวงอุตสาหกรรมจนกลายเป็นจุดริเริ่มของการรอคอยที่ทรงเกียรติทุก ๆ สองปีบนปฏิทินของอุตสาหกรรมนาฬิกาสำหรับแบรนด์และกลุ่มนักสะสมนาฬิกา โดยสมาคม Monégasque contre les Myopathies ภายใต้องค์กรการกุศล Only Watch สามารถรวบรวมทุนเกือบ 100 ล้านฟรังค์สวิสส์ ยูโรและทุนดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในความก้าวหน้าของวงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์

เริ่มครั้งที่ 5 มาจนถึงครั้งที่ 10 และจะยังคงดำเนินต่อ
TAG Heuer เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำที่มีสปิริตและความทุ่มเทในการทลายขีดจำกัด ซึ่งได้รับเกียรติในการร่วมทีมกับ Pettavino ซึ่งได้สร้างอิทธิพลสำคัญ และในปี 2023 TAG Heuer จะเข้าร่วมงานประมูลนาฬิกาครั้งที่ 5 ของ Only Watch กับผลงานนาฬิกาชิ้นใหม่ที่มาพร้อมรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม

จากความคิดสู่ชิ้นงานจริง การเดินทางอันยาวนานของนาฬิกาสุดพิเศษเรือนนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความทุ่มเทของ TAG Heuer ผ่านเป้าหมายที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศ นวัตกรรม และมนุษยธรรม จากแรงบันดาลใจในการสานความหวังและสร้างความเปลื่ยนแปลงต่อการวิจัยเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงดูเชนน์

“ผมมีความภูมิใจในทีมของ TAG Heuer และผู้เชี่ยวชาญที่ได้ร่วมงานจนเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่และนาฬิการุ่นพิเศษเรือนนี้ ตอกย้ำคุณค่าที่แท้จริงของ TAG Heuer ในฐานะที่เราขอได้มีโอกาสนำเสนอนาฬิกาที่โดดเด่นเรือนนี้ เราขออวยพรให้คุณ Luc Pettavino ประสบความสำเร็จในจัดงานครั้งนี้และสร้างการเปลื่ยนแปลงที่มีความหมาย“ คุณ Frédéric Arnault กล่าวเสริม


About TAG Heuer
TAG Heuer ก่อตั้งขึ้นในปี 1860 โดย Edouard Heuer (เอดูอารค์ ฮอยเออร์) ในเทือกเขาฌูรา (Jura Mountains) ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แบรนด์นาฬิกาหรูที่เป็นส่วนหนึ่งของ LVMH Moet Hennessy Louis Vuitton SE (“LVMH”) กลุ่มสินค้าหรูหราชั้นนำระดับโลก TAG Heuer มีฐานการผลิตอยู่ทีเมือง La Chaux-de-Fonds (ลาโช-เดอ-ฟง) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และมีฐานการผลิตทั้งหมด 4 แห่ง มีพนักงานจำนวน 1,860 คน และดำเนินธุรกิจใน 139 ประเทศ ผลิตภัณฑ์ของ TAG Heuer มีจำหน่ายทางออนไลน์ที่ www.tagheuer.com สำหรับบางประเทศ และผ่านทางบูติกที่มีอยู่ 260 บูติก และจุดจำหน่าย 2,300 แห่งทั่วโลก นำโดย Frédéric Arnault (เฟรเดริก อาร์โนลต์) – CEO ของ TAG Heuer ตลอดระยะเวลา 163 ปีของ TAG Heuer ได้แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของการผลิตนาฬิกาไสตล์อาวองการ์ดอย่างแท้จริง และความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยเทคโนโลยีที่ปฏิวัติวงการ ซึ่งรวมถึงเฟืองแกว่ง (oscillating pinion) ในนาฬิกากลไกระบบจับเวลาในปี 1887 นาฬิกา Mikrograph (ไมโครกราฟX ในปี 1916 กลไกจับเวลาโครโนกราฟอัตโนมัติชุดแรกของโลก คาลิเบอร์ 11 ที่สร้างสรรค์ขึ้นในปี 1969 และนาฬิกาสมาร์ทวอชท์สุดหรูเรือนแรกในปี 2015 ปัจจุบัน คอลเลกชั่นหลักของ แบรนด์ประกอบด้วย 3 ตระกูลระดับไอคอนที่ออกแบบโดย Jack Heuer (แจ็ค ฮอยเออร์) ประกอบด้วย TAG Heuer Carrera Monaco และ Autavia และนาฬิกาสไตล์ร่วมสมัยในคอลเลกชั่น TAG Heuer Link, Aquaracer, Formula 1 และ Connected ตามคำขวัญของ TAG Heuer ทีว่า “Don’t Crack Under Pressure” (ไม่หวั่นไหว แม้อยู่ภายใต้แรงกดดัน) ทั้งพันธมิตรและแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแบรนด์ที่โดดเด่นล้วนแสดงออกถึงความหลงใหลในกิจกรรมและมีความสามารถสูง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้