Last updated: 6 ส.ค. 2567 | 1191 จำนวนผู้เข้าชม |
Audemars Piguet (โอเดอมาร์ ปิเกต์) เปิดตัวนาฬิการุ่น Royal Oak Offshore สามเรือนใหม่ในหลากหลายรูปลักษณ์ โดยมีให้เลือกทั้งรุ่นกลไกอัตโนมัติและกลไกโครโนกราฟอัตโนมัติ พร้อมหน้าปัดขนาด 37.0 และ 43.0 มิลลิเมตร รังสรรค์ขึ้นด้วยวัสดุทีหลากหลาย ทั้งยางเคลือบสี สแตนเลสสตีล พิ้งค์โกลด์ 18 กะรัต และเซรามิกสีดำ นาฬิกาที่มาพร้อมกลไกอัตโนมัติสุดล้ำทั้ง 3 เรือนนี้ยังพร้อมนำเสนอโทนสีบรอนซ์ สีงาช้าง และสีน้ำเงินใหม่ที่ทั้งโดดเด่นและทรงพลังให้กับคอลเลกชัน Royal Oak Offshore อีกด้วย
หลากโทนสีสำหรับดีไซน์สุดแกร่ง
นาฬิกาทั้ง 3 เรือนได้แรงบันดาลใจจากจิตวิญญาณสุดขบถและกล้าแกร่งของคอลเลกชัน Royal Oak Offshore ซึ่งเล่นกับวัสดุที่หลากหลายพร้อมรายละเอียดของความกล้าที่จะฉีกกฎเกณฑ์ในการสร้างสรรค์เรือนเวลาแบบดั้งเดิม การผสมผสานระหว่างการใช้สแตนเลสสตีลกับเซรามิกสีดำหรือทองคำ 18 กะรัตพร้อมด้วยวัสดุยางเคลือบสี ทำให้นาฬิการุ่นใหม่เหล่านี้ให้ความสวยงามที่ทรงพลัง ซึ่งถูกขับเน้นให้โดดเด่นด้วยรายละเอียดที่ตัดกันได้อย่างเฉียบคม
นาฬิกาที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับผู้มีข้อมือขนาดเล็กเรือนแรกที่เปิดตัวออกมาใหม่นี้ เป็นนาฬิกากลไกอัตโนมัติเรือนแรกที่ใช้วัสดุพิ้งค์โกลด์ 18 กะรัตบนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 37 มิลลิเมตร ขอบตัวเรือนทองคำเคลือบด้วยยางสีเทา ช่วยตอกย้ำอัตลักษณ์ความสปอร์ตของคอลเลกชันนี้ และเพื่อให้โทนสีมีความกลมกลืนกัน ลวดลายกิโยเช่บนหน้าปัด Grande Tapisserie ทั้งในโทนสีโรเดียมและสีงาช้าง ยังผ่านการขัดเงาเพื่อให้เกิดเอฟเฟกต์สะท้อนแสง เครื่องหมายบอกหลักชั่วโมงและเข็มนาฬิกาทรงสี่เหลี่ยมคางหมูพิ้งค์โกลด์ที่เคลือบด้วยวัสดุเรืองแสง ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของสีสันโดยรวมของนาฬิกา ในขณะที่ขอบตัวเรือนด้านในสีเทายังสอดคล้องและกลมกลืนไปกับขอบตัวเรือนเคลือบยางและสายยางโมเสก นอกจากนี้ นาฬิกาเรือนนี้ที่มาพร้อมระบบการถอดเปลี่ยนสายนาฬิกาด้วยตัวเองได้ ยังมีสายยางโมเสกสีดำที่ช่วยเพิ่มคอนทราสต์ที่น่าสนใจให้กับนาฬิกาอีกหนึ่งเส้นด้วย
Royal Oak Offshore Selfwinding ขนาดหน้าปัด 37.0 มิลลิเมตรถูกสร้างขึ้นสำหรับผู้มีข้อมือขนาดเล็กโดยเฉพาะ ขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ 5900 ซึ่งเป็นกลไกอัตโนมัติรุ่นล่าสุดของ Audemars Piguet ที่ระบุชั่วโมง นาที วินาทีและวันที่ กลไกนี้เปิดตัวออกมาครั้งแรกในปี 2022 โดยมีความหนาเพียง 3.9 มิลลิเมตรเท่านั้น และมีความถี่ในการทำงานของชุดจักรกรอกที่ 4 Hz จึงสามารถสำรองพลังงานได้นาน 60 ชั่วโมง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานแบบร่วมสมัย
นาฬิกาอัตโนมัติเรือนที่สอง โดดเด่นด้วยตัวเรือนสแตนเลสสตีลขนาด 43 มิลลิเมตร ตัดกับขอบตัวเรือนเคลือบยางสีน้ำเงินที่แมตช์กับสายนาฬิกา ความงดงามแบบทูโทนยังดำเนินต่อไปบนหน้าปัดลาย Méga Tapisserie สีน้ำเงินรมควัน ซึ่งโดดเด่นในรูปแบบของหน้าปัดที่มาพร้อมเข็มนาฬิกา 3 เข็มและฟังก์ชันการระบุวันที่ เครื่องหมายบอกหลักชั่วโมงทรงสี่เหลี่ยมคางหมูและเข็มนาฬิกา Royal Oak ที่รังสรรค์ขึ้นจากทองคำโทนสีโรเดียมเคลือบวัสดุเรืองแสงยังช่วยให้การอ่านเวลาทำได้อย่างดีที่สุดแม้ในความมืด นอกจากนี้ หน้าปัดยังดูสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นด้วยขอบตัวเรือนด้านในสีน้ำเงินและลายโมโนแกรม AP ที่ทำจากทองคำโทนสีโรเดียมขัดเงาที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา นาฬิกาเรือนนี้ยังมอบสไตล์การสวมใส่ที่หลากหลายขึ้นด้วยสายนาฬิกายางสีดำที่มีมาให้เพิ่มเติมอีกหนึ่งเส้น
Royal Oak Offshore Selfwinding ขนาดหน้าปัด 43.0 มิลลิเมตร มาพร้อมคาลิเบอร์ 4302 กลไกที่ได้รับการจดสิทธิบัตรแล้ว มอบความแม่นยำและความเสถียรให้กับนาฬิกาได้ทันทีเมื่อตั้งเวลา ในขณะที่เส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 32.0 มิลลิเมตรของกลไก ยังมีส่วนช่วยยกระดับความแม่นยำในการบอกเวลา และด้วยความถี่ที่ 4 Hz ท าให้นาฬิกาเรือนนี้สามารถสำรองพลังงานได้นาน 70 ชั่วโมง
สำหรับเรือนสุดท้ายคือนาฬิการุ่น Royal Oak Offshore Selfwinding Chronograph ที่รังสรรค์ขึ้นจากสแตนเลสสตีลบนหน้าปัดขนาด 43 มิลลิเมตร โดยมาพร้อมขอบตัวเรือนสแตนเลสสตีลที่เข้ากัน พร้อมด้วยเม็ดมะยมและปุ่มกดเซรามิกสีดำ นาฬิกาเรือนนี้ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากซิการ์ฮาบาโนส โดดเด่นด้วยหน้าปัดลาย Méga Tapisserie สีบรอนซ์รมควัน ซึ่งช่วงขอบของหน้าปัดมีรายละเอียดของการค่อยๆ ไล่สีให้เข้มขึ้นไปจนถึงขอบตัวเรือนด้านในที่มีสีดำ มาตรวัดความเร็วใช้สีขาว เช่นเดียวกับหน้าปัดเย่อยที่ตำแหน่ง 9, 6 และ 3 นาฬิกาที่ใช้สีขาวเช่นกัน ดูกลมกลืนไปกับเซรามิกและขอบตัวเรือนด้านใน ช่วยเพิ่มความสามารถในการบอกเวลาให้เด่นชัด หน้าปัดยังสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นเมื่อมาพร้อมเครื่องหมายบอกหลักชั่วโมงทรงสี่เหลี่ยมคางหมูและเข็มนาฬิกาทองคำรมดำ ซึ่งเคลือบด้วยวัสดุเรืองแสง นาฬิกาเรือนนี้ยังมาพร้อมสายหนังจระเข้สีน้ำตาลพร้อมการเก็บรายละเอียดด้วยมือให้ดูเก่าในสไตล์ออกซ์ฟอร์ด รวมทั้งระบบถอดเปลี่ยนสายได้เอง โดยมีสายยางสีดำเพิ่มเติมให้อีกหนึ่งเส้นเพื่อมอบความสวยงามแบบสปอร์ตให้กับการสวมใส่
Royal Oak Offshore Selfwinding มาพร้อมกลไกของคาลิเบอร์ 4401 นับเป็นกลไกโครโนกราฟล่าสุดของ Audemars Piguet กลไกนี้ประกอบด้วยจักรคอลัมน์วีลพร้อมระบบคลัตช์แนวดิ่ง เพื่อเปิดใช้งาน หยุด และรีเซ็ตกลไกการจับเวลา ซึ่งถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของหลักการเทียบเวลา (isochronism) ตลอดจนความสามารถในการลดการสะดุดมื่อเริ่มต้นจับเวลาใหม่ คาลิเบอร์ 4401 ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการทำงานหลายร้อยชั่วโมง นำเสนอส่วนผสมที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ของกลไกอันซับซ้อนในนาฬิกาของ Audemars Piguet ซึ่งจับคู่ jumping hour กับกลไกฟลายแบ็กโครโนกราฟ ระบบฟลายแบ็กช่วยให้การวัดค่าใหม่หลาย ๆ ครั้งติดต่อกัน สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยการรีสตาร์ทกลไกการจับเวลาโดยไม่ต้องขัดจังหวะหรือรีเซ็ตก่อน
ไม่ว่านาฬิกาเรือนนี้จะรังสรรค์ขึ้นจากพิ้งค์โกลด์ สแตนเลสสตีล หรือเซรามิก ชิ้นส่วนของตัวเรือนของนาฬิกาเรือนใหม่ทั้ง 3 เรือนนี้ล้วนผ่านการตกแต่งด้วยงานขัดแบบซาตินและการขัดเงาด้วยมืออันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Audemars Piguet ทั้งนี้เพื่อมอบรายละเอียดของการเล่นกับแสงได้อย่างต่อเนื่อง และเน้นย้ำถึงโครงสร้างของนาฬิกาในคอลเลกชัน Royal Oak Offshore ที่มีความแข็งแกร่งและโดดเด่น
กลไกอัตโนมัติล้ำหน้าซึ่งผสมผสานความงามสุดประณีตเข้ากับประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งที่เหมาะสำหรับผู้มีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบการผจญภัยทั้ง 3 กลไกนี้ สามารถมองเห็นได้ผ่านฝาหลังประดับแซฟไฟร์ ซึ่งเผยให้เห็นโรเตอร์ที่ทำด้วยพิ้งค์โกลด์ 22 กะรัตรมดำที่เป็นเอกลักษณ์ของคอลเลกชันนี้ด้วย รวมถึงเทคนิคการตกแต่งอย่างประณีตของชิ้นส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานขัดลายวงกลมวน “Cotes de Geneve” เทคนิคการขัดในแนวตั้ง เทคนิคการขัดแบบวงกลม เทคนิคการขัดลายแสงแดด (sunray brushing) เทคนิค “เซอร์คิวลาร์ เกรนิง” (Circular Graining) และเทคนิคการขัดเงาลบมุม
เกี่ยวกับ Audemars Piguet
Audemars Piguet (โอเดอมาร์ ปิเกต์) แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องบอกเวลาชั้นสูงที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งยังคงดำเนินธุรกิจสืบทอดกันในครอบครัวผู้ก่อตั้งมาจวบจนปัจจุบัน (ตระกูลโอเดอมาร์และตระกูลปิเกต์) นับตั้งแต่ปี 1875 Audemars Piguet ยังคงผลิตเครื่องบอกเวลาที่เมืองเลอ บราซูส์ (Le Brassus) โดยสืบสานฝีมือการทำงานของช่างผู้เชี่ยวชาญจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมทั้งพัฒนาทักษะและเทคนิคใหม่ๆ เพื่อขยายขอบเขตความชำนาญที่มีอยู่เดิม พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถอันนำไปสู่การก้าวข้ามขีดจำกัดที่เคยมีอย่างต่อเนื่อง Audemars Piguet ได้สร้างสรรค์เรือนเวลาหรูหราแห่งประวัติศาสตร์มากมาย ณ วัลเลย์ เดอ ฌูซ์ (Vall.e de Joux) หนึ่งในต้นกำเนิดของศาสตร์การผลิตนาฬิกาข้อมือชั้นนำใจกลางสวิตเซอร์แลนด์ และสถานที่ซึ่งเผยให้เห็นเอกลักษณ์ความเชี่ยวชาญของคนรุ่นก่อนซึ่งสะท้อนจิตวิญญาณอันก้าวหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง Audemars Piguet พร้อมแบ่งปันความหลงใหลและความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์ผลงานให้กับผู้ที่รักเครื่องบอกเวลาทั่วโลกภายใต้ภาษาแห่งอารมณ์ ผ่านการแลกเปลี่ยนคุณค่าที่หลากหลายในสายงานสร้างสรรค์ที่มีความแตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจออกไปยังผู้คนทั่วทุกมุมโลก Seek Beyond — audemarspiguet.com
Follow us on #AudemarsPiguet
Facebook https://www.facebook.com/audemarspiguet
Instagram https://www.instagram.com/audemarspiguet
LinkedIn https://www.linkedin.com/company/audemars-piguet
Pinterest https://www.pinterest.com/audemarspiguet/
TikTok https://www.tiktok.com/@audemarspiguet
Twitter https://www.twitter.com/AudemarsPiguet
Weibo https://www.weibo.com/audemarspiguetchina
Youku https://www.youku.com/profile/index/?uid=UNDMwNjcyODQ4
YouTube https://www.youtube.com/c/audemarspiguet
21 พ.ย. 2567
21 พ.ย. 2567
22 พ.ย. 2567
21 พ.ย. 2567