Last updated: 17 ก.พ. 2568 | 210 จำนวนผู้เข้าชม |
บุลการี (Bvlgari) ก่อตั้งขึ้นในปี 1884 โดดเด่นในเรื่องฝีมือการผลิตอันยอดเยี่ยม, การออกแบบที่สะท้อนนวัตกรรม และมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ผสมผสานความสง่างามในสไตล์อิตาลีเข้ากับความแม่นยำในแบบสวิส สู่การออกแบบคอลเลกชั่นที่กลายเป็นไอคอนิก อาทิ Serpenti, Octo Finissimo และ Bvlgari Bvlgari
MB&F (Maximilian Büsser & Friends) ได้มาปฏิวัติวงการนาฬิกาแบบดั้งเดิมนับตั้งแต่ปี 2005 โดยการสร้างสรรค์ประติมากรรมนาฬิกาเชิงกลสามมิติ: Horological Machines ที่ได้รับการร่วมมือกับ "เพื่อน" ของแบรนด์ และได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งต่างๆ ที่เขาหลงใหล เช่น นิยายวิทยาศาสตร์, ซูเปอร์คาร์ และสัตว์ชนิดต่างๆ
Bvlgari x MB&F: not their first collaboration
ในปี 2021 การพบกันโดยบังเอิญระหว่าง ฟาบริซิโอ บูออนามาสซา สติกลิอานี (Fabrizio Buonamassa Stigliani) ผู้อำนวยการฝ่ายการออกแบบนาฬิกา Bvlgari และ แม็กซิมิเลียน บูสเซอร์ (Maximilian Büsser) ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ MB&F ทั้งสองแบรนด์ได้เปิดตัวความร่วมมือครั้งแรกผ่านผลงาน: MB&F x Bvlgari LM FlyingT Allegra ความร่วมมือนี้ได้นำพาไปสู่โลกที่เต็มไปด้วยความสง่างามและสีสันของอัญมณี Bvlgari มาสู่ Legacy Machines ของ MB&F หลังจากความสำเร็จของความร่วมมือครั้งนั้น ทั้งสองก็ตั้งคำถามว่า ต่อไปจะทำอะไรดี?
สำหรับความร่วมมือครั้งที่สอง Fabrizio และ Max ได้เลือกที่จะตีความผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Bvlgari อย่าง เซอร์แพนติ (Serpenti) ซึ่งปรากฏตัวครั้งแรกในปี 1948 โดยนำรูปแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาสู่การผลิตกลไกนาฬิกา MB&F การผสมผสานวิสัยทัศน์และความเชี่ยวชาญของสองขุมพลังสร้างสรรค์นี้ จึงสร้างผลลัพธ์ Bvlgari x MB&F Serpenti ซึ่งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาอย่างงดงาม …
การนำ Serpenti – สัญลักษณ์แห่งการเกิดใหม่ที่เป็นนิรันดร์และการแปรสภาพอย่างกล้าหาญ – มารังสรรค์ใหม่ในรูปแบบของเครื่องจักรกลบอกเวลา จำเป็นต้องมีการพัฒนาใหม่ทั้งในแง่ของวิศวกรรมกลไกและการออกแบบอย่างครบวงจร รวมถึงการออกแบบตัวเรือนและกระบวนการผลิตอันซับซ้อน ด้วยเหตุนี้ Bvlgari x MB&F Serpenti จึงกลายเป็นการสร้างสรรค์ที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งเกิดจากการพบกันผ่านแรงบันดาลใจและวิสัยทัศน์ร่วมกัน ที่ซึ่งกลไกและการออกแบบผสมผสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ
An intense design process
ตามที่ Fabrizio Buonamassa Stigliani กล่าวถึงการออกแบบว่า “ถือเป็นความสุขที่ได้สร้างสรรค์” ซึ่งอาจทำให้รู้สึกว่าขั้นตอนนี้ดูเหมือนจะค่อนข้างง่าย แต่การร่างภาพหลายร้อยภาพและการสร้างแบบจำลอง 3D หลายสิบแบบ กลับพิสูจน์ให้เห็นถึงความซับซ้อนในกระบวนการออกแบบ ตัวเรือนของ Bvlgari x MB&F Serpenti แตกต่างจากตัวเรือนทรงกลมแบบคลาสสิกที่มีมิติให้ทดลองเพียงไม่กี่มิติ แต่กลับมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เหมือนกับการออกแบบรถยนต์ ที่มุมมองจากแต่ละทิศทางไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะมองจากด้านหน้า ด้านข้าง ด้านบน หรือด้านหลัง ทุกมุมมองเหล่านั้นต้องสร้างความพึงพอใจให้ได้ในระดับเดียวกัน เหมือนกับสมการที่มีความสมดุล ซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบผ่านตัวแปรหลายส่วน การปรับมุมหรือส่วนโค้งในจุดใดจุดหนึ่ง แม้ว่าจะช่วยเสริมมุมมองหนึ่ง แต่ก็อาจทำให้มุมมองอื่นเสียไป ซึ่งทำให้การออกแบบของ Bvlgari x MB&F Serpenti ต้องผ่านการทดลองและปรับแต่งจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Challenging case manufacturing
เมื่อการออกแบบสมบูรณ์ในเชิงสุนทรียะแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือต้องนำมาพัฒนาและผลิต ซึ่งสร้างความท้าทายเพิ่มเติม ตัวเรือนของ Bvlgari x MB&F Serpenti เต็มไปด้วยส่วนโค้งที่ผสมผสานกันจนกลายเป็นเรื่องท้าทายในการผลิต ส่วนโค้งที่ซับซ้อนเหล่านี้ไม่ได้จำกัดแค่เพียงโลหะของตัวเรือน แต่ยังขยายไปถึงคริสตัลแซฟไฟร์ทั้งห้าส่วน ซึ่งรวมถึงดวงตาของงูและส่วนด้านหลังที่มีการตัดแต่งหลายมุม ทุกชิ้นส่วนได้รับการเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนทั้งสองด้านและเปิดช่องขนาดใหญ่สำหรับชื่นชมกลไก การผสมผสานของโลหะโค้งและคริสตัลแซฟไฟร์นี้ไม่เพียงแต่ยากต่อการตัดและขัดตกแต่งให้สวยงาม แต่ยังท้าทายในการทำให้มีประสิทธิภาพการกันน้ำได้ลึกถึง 30 เมตร
“ที่ MB&F เรามีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์ ‘ประติมากรรมเชิงกลบอกเวลา’ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่เราเรียกหามาตลอด อย่างไรก็ตาม การออกแบบในรูปแบบชีวภาพของนาฬิกานี้สร้างความท้าทายอย่างมากทั้งในแง่ของตัวเรือนและกลไก” Maximilian Büsser ได้แบ่งปันข้อมูล “ตัวเรือนที่ซับซ้อนนี้ถูกทำขึ้นทั้งหมดด้วยเครื่องจักร 3D แบบ 5 แกน และเพื่อให้ตัวเรือนสามารถประกอบเข้ากับคริสตัลแซฟไฟร์ทั้งห้าส่วน ซึ่งไม่เพียงแต่ยากในการผลิตเท่านั้น แต่ยังท้าทายอย่างมากในการประกอบให้พอดีกับตัวเรือนที่มีลักษณะโค้งและความต้องการให้กันน้ำได้ลึกถึง 30 เมตร”
A complex movement that breaks horological conventions
ภายในตัวเรือนที่ซับซ้อนนี้ คือกลไกที่ซับซ้อนไม่แพ้กัน ซึ่งทลายขอบเขตของการออกแบบนาฬิกาแบบดั้งเดิม โดยได้รับการออกแบบและพัฒนาในฐานการผลิตของ MB&F ตั้งแต่เริ่มต้น หนึ่งในแนวคิดหลักของ Fabrizio คือการรังสรรค์ Serpenti ให้มามีชีวิตผ่านกลไก โดยการทำให้ดวงตามีการเคลื่อนไหว ซึ่งได้ถูกนำมาใช้เป็นโดมชั่วโมงและนาที โดยโดมด้านซ้ายหมุนรอบหนึ่งใน 12 ชั่วโมง และโดมด้านขวาหมุนรอบหนึ่งใน 60 นาที โดมที่บางเฉียบเหล่านี้ถูกทำจากอะลูมิเนียมที่เป็นของแข็ง เพื่อทำให้เบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งต้องใช้กระบวนการทำที่มีนวัตกรรม ทั้งสองโดมตกแต่งด้วย Super-LumiNova ที่ทาโดยมือ เพื่อให้เวลาอยู่ในที่มืด การมองเห็นของดวงตางูจะยังคงเปล่งประกายอยู่เสมอ
กลไกที่บรรจุภายในคล้ายสมองของสัตว์เลื้อยคลานผ่านการออกแบบที่ท้าทายทางเทคนิค ด้วยฟลายอิ้งบาลานซ์วีลขนาดใหญ่ 14 มม. ที่มีสกรูแบบดั้งเดิมสี่ตัว ซึ่งเดินด้วยความถี่ 2.5 เฮิร์ต (18,000 ครั้งต่อชั่วโมง) และยึดแน่นอยู่ในสะพานบาลานซ์สามมิติที่สลักชื่อของสองแบรนด์พันธมิตรอย่างชัดเจน เม็ดมะยมแยกจากกันถูกใช้สำหรับการขึ้นลานและการตั้งเวลา ซึ่งถูกจัดไว้บริเวณตัวเชื่อมสายของ Bvlgari x MB&F Serpenti
เมื่อพลิกนาฬิกา จะพบกับมาตรพลังงานสำรอง พร้อมกับชิ้นส่วนประกอบอื่น ๆ อีก 310 ชิ้นของกลไกที่ตกแต่งด้วยมือ MB&F เป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่ยังคงรักษากระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมและการตกแต่งชิ้นส่วนประกอบด้วยมือ ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำได้เฉพาะต่อเมื่อผลิตนาฬิกาจำนวนน้อยเรือนต่อปี (น้อยกว่า 400 เรือนในปี 2024) ช่างนาฬิกา MB&F สามารถผลิตและประกอบกลไก Bvlgari x MB&F Serpenti ได้เพียง 6 ถึง 8 เรือนต่อเดือนเท่านั้น ดังนั้นการผลิตนาฬิกา 99 เรือนจะต้องใช้เวลานานกว่า 1 ปีในการส่งมอบ
ช่างนาฬิกาผู้เชี่ยวชาญในการผลิตที่อยู่กับ MB&F มาอย่างยาวนานจะสังเกตเห็นคุณสมบัติบางประการในกลไกที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเป็นผลจากความชำนาญที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง สำหรับ 20 กลไกที่ MB&F สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2005 โดยเฉพาะกลไกแบบไขลานด้วยมือ HM10 ถึงแม้จะต้องมีการปรับเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญเพื่อรองรับการออกแบบที่เพรียวบางของ Serpenti
Automotive touches
นอกจากการออกแบบ Serpenti ที่เห็นได้ชัดเจน ซีรีส์ใหม่นี้ยังมาพร้อมเอกลักษณ์ที่เผยแรงบันดาลใจสำหรับทั้งสองผู้สร้างสรรค์ ทั้ง Fabrizio และ Max ต่างก็ชื่นชอบในดีไซน์รถยนต์ และเติบโตมากับแรงบันดาลใจจากวงการยานยนต์ ในตอนแรกไม่มีแผนที่จะนำรหัสการออกแบบรถยนต์มารวมไว้ใน Bvlgari x MB&F Serpenti แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยถึงอิทธิพลที่แฝงอยู่ในผลงานชิ้นนี้: ตัวเรือนที่คล้ายกับการออกแบบตัวถังรถยนต์ที่เพรียวบาง คริสตัลแซฟไฟร์ที่ซับซ้อนในรูปทรง "ขั้นบันได" คล้ายกับบานพับของกระจกหลังรถสปอร์ต เม็ดมะยมที่อาจทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นล้อรถยนต์... ส่วนที่มองเห็นของกลไกยังมีส่วนประกอบที่คล้ายกับเครื่องยนต์ รวมถึงกรอบที่มีลวดลายเกล็ดหกเหลี่ยมที่โดดเด่นซึ่งเคยปรากฏในผลงาน Serpenti รุ่นก่อน ๆ
Three Limited Editions
นาฬิการุ่นนี้มีให้เลือกสามเวอร์ชั่นที่แตกต่างกัน โดยแต่ละเวอร์ชั่นผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 33 เรือนเท่านั้น เวอร์ชั่นแรกมาพร้อมกับตัวเรือนไทเทเนียมเกรด 5 และโดมชั่วโมงและนาทีสีฟ้า เวอร์ชั่นที่สองในตัวเรือนโรสโกลด์ 18K พร้อมดวงตาโดมสีเขียวที่สดใส และเวอร์ชั่นที่สามทำจากสเตนเลสสตีลเคลือบ PVD สีดำ พร้อมดวงตาสีแดงที่เปล่งประกายอย่างมีชีวิตชีวา
“ผลงานชิ้นนี้ได้รับการออกแบบด้วยความสุข แต่ในด้านเทคนิคการผลิตกลับเป็นความท้าทาย” Fabrizio Buonamassa Stigliani กล่าว “เป้าหมายของเราคือการสร้างผลงานที่มาจากวิสัยทัศน์ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง งูเป็นสัญลักษณ์ที่งดงามและดึงดูดใจนักสะสมมากมาย ผมคิดว่าเราประสบความสำเร็จในการมอบมุมมองใหม่ให้กับงูของ Bvlgari ซึ่งไม่ใช่แค่ผลงานที่มีลักษณะเฉพาะสำหรับผู้หญิงและเชื่อมโยงกับดีเอ็นเอของแบรนด์เท่านั้น แต่เป็นครั้งแรกที่กลายเป็นสิ่งของทางเทคนิคที่สะท้อนถึงความงามของ Bvlgari และแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของ MB&F เช่นเดียวกับทุกความร่วมมือที่ดี ถือเป็นโปรเจคต์ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างแท้จริง”
MB&F และ Bvlgari ได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์ผลงานที่มีเอกลักษณ์และด้วยนวัตกรรมการออกแบบงูที่ดึงดูดใจนักสะสมนาฬิกา ด้วยการรังสรรค์อันโดดเด่นและวิศวกรรมกลไกที่ล้ำสมัย Bvlgari x MB&F Serpenti เชิญชวนผู้ที่หลงใหลในสิ่งมีชีวิตที่ดึงดูดสายตาจากระยะไกลให้มาสัมผัสขุมพลังอย่างแท้จริง
#MB_F #MBandF #Bvlgari #MB_FXBvlgari #BvlgarixMB_fFSerpenti #QPMagazineThaiEdition #QPThaiEdition
14 ก.พ. 2568
17 ก.พ. 2568
13 ก.พ. 2568
14 ก.พ. 2568