Last updated: 12 ก.ย. 2559 | 3785 จำนวนผู้เข้าชม |
เมื่อช่างนาฬิกาแห่งเมืองเดรสเดน Ferdinand Adolph Lange ก่อตั้งโรงงานการผลิตนาฬิกาของเขาขึ้นเองในปี ค.ศ.1845 และได้วางรากฐานสำคัญอันเที่ยงตรงให้กับอุตสาหกรรมการประดิษฐ์นาฬิกา โดยเหล่าผลงานนาฬิกาตั้งโต๊ะและนาฬิกาพกอันล้ำค่าของเขายังคงเป็นที่ปรารถนาสูงสุดในหมู่นักสะสมทั่วโลกและอีกหลายชิ้นในพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญหลายแห่ง แต่เมื่อบริษัทถูกทำลายลงในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ชื่อของ A. Lange & Söhne เกือบแทบที่จะถูกลืมเลือนไป กระทั่งในปี ค.ศ. 1990 Walter Lange เหลนชายของ Ferdinand Adolph Lange ได้ใช้ความกล้าหาญในกอบกู้และเปิดตัวแบรนด์ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จวบจน ณ วันนี้ที่ A. Lange & Söhne ประดิษฐ์นาฬิกาข้อมือที่ล้วนแล้วแต่ทำจากวัสดุล้ำค่า เช่น ทองคำและแพลตทินั่ม ทั้งหมดยังบรรจุด้วยเหล่ากลไกชั้นยอดที่ผ่านการประดิษฐ์ตกแต่งและประกอบขึ้นอย่างประณีตวิจิตรด้วยมือ ซึ่งสามารถทำขึ้นได้เพียงไม่กี่พันเรือนต่อปี และโดยในช่วงระยะเวลาเพียง 20 ปี A. Lange & Söhne ก็สามารถพัฒนากลไกที่ผลิตขึ้นภายในโรงงานของตนเองได้ถึง 51 คาลิเบอร์ และครองตำแหน่งระดับสูงสุดท่ามกลางเหล่าแบรนด์เรือนเวลาชั้นสูงของโลก
เนื่องในโอกาสครบรอบ 200 ปีที่ก่อตั้งแบรนด์ A. Lange & Söhne จึงได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ โดยสถานที่จัดงานนั้นเป็นที่อื่นไปไม่ได้ นอกจากเมืองเดรสเดน ในแคว้นแซกโซนี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ Ferdinand Adolph Lange ในอดีตเมืองนี้เป็นเมืองที่ร่ำรวยมาก การใช้วัสดุที่มีค่าเช่นทองคำนั้นเป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สิ่งประดิษฐ์ที่ทำด้วยช่างผู้มีฝีมือนั้นเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์และเหล่ามหาเศรษฐีของประเทศ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ได้รับเชิญทุกท่านเข้าถึงประวัติศาสตร์อันน่าทึ่งของแบรนด์ CEO ใหญ่ของแบรนด์ Mr. Wilhelm Schmid ได้ตัดสินใจเลือกจัดงานที่นี่เพราะว่าเป็นจุดเริ่มการกำเนิดของนาฬิกาแบรนด์ A. Lange & Söhne
ซึ่งภายในงานมีการจัดแสดงโชว์นาฬิการุ่นใหม่ โดยไฮไลท์ของงานนี้จะเป็นรุ่น A. Lange & Söhne 1815 Tourbillon Handwerkskunst ซึ่งผลิตอย่างประณีตด้วยมือเพื่อฉลองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่สูงสุดของแบรนด์ ผลิตเพียงแค่ 30 เรือนทั่วโลก เป็นนาฬิกาข้อมือขนาด 39.5 มิลลิเมตร ตัวเรือนทำจากทองคำชมพูและโรเดียม ที่มีการแกะสลักแบบ Tremblage Engraving (เยอรมัน: Tremblage-Gravur) ที่อาจจะดูคล้ายกับการพ่นทรายที่หยาบแต่ทว่าเป็นการแกะสลักด้วยมือที่ต้องอาศัยงานฝีมือสุดประณีตที่สะท้อนความเป็น Handwerkskunst ที่หมายถึงคุณภาพที่สูงกว่าคุณภาพที่สูงที่สุด นอกเหนือจากจุดเด่นของงานแกะสลักบนหน้าปัดแล้ว ตัวเครื่องยังใช้กลไก Calibre L102.1 ที่ได้รับการขัดแต่งที่แสนงดงาม Tourbillon Bridge และ Cage หรือที่เรียกว่า Black-Polish ที่ต้องใช้เวลาในการขัดเพื่อให้ผิวระนาบนั้นเรียบเงาเป็นกระจกและให้แสงสะท้อนในบางมุมมองที่จะทำให้เห็นเป็นสีดำซึ่งการขัดเงาแบบนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดการขัดแต่งกลไกแห่งเรือนเวลา นอกจากนี้ยังมีสุดยอดแห่งกลไกตูร์บิยอง (Tourbillon) ที่ผสานกลไกลิขสิทธิ์พิเศษของ A. Lange & Söhne ไว้ด้วยกันคือ ฟังก์ชัน Zero-Reset ที่จะทำให้เข็มวินาทีกลับมาที่ตำแหน่งศูนย์เมื่อดึงเม็ดมะยมเพื่อจะปรับเวลา และฟังก์ชัน Stop-Seconds ที่จะหยุดกลไกตูร์บิยองเมื่อดึงเม็ดมะยม ที่สังเกตเพิ่มเติมบนกลไก L102.1 คือการใช้ Three-Quarter-Plate รูปแบบใหม่ ที่ทำจากวัสดุ German Silver หรือภาษาเยอรมันเรียกว่า Neusilber ที่มีส่วนผสมหลักคือ ทองแดง, นิกเกิลและสังกะสี ซึ่ง Three-Quarter-Plate นี้ทำให้การนำเสนอกลไก Tourbillon ของนาฬิกาเรือนนี้เรียบง่ายแต่สวยงามไร้ที่ติ
ในการเดินทางครั้งนี้ผมได้มีโอกาสร่วมรับประทานอาหารกับ Mr. Walter Lange บุคคลสำคัญที่ทำให้ A. Lange & Söhne กลับมายืนในฐานะนาฬิกาชั้นนำของโลกจากเยอรมัน ที่มีคุณภาพทัดเทียมกันกับนาฬิกาสวิส จากที่ทวดของเขาก่อตั้งขึ้นเมื่อ 200 ปีที่แล้ว บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง ในบรรยากาศและสถานที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นโรงละคร Opera ที่มีนาฬิกาที่บอกเวลาทุก 5 นาทีที่มีชื่อเสียงของโลกนั้นติดอยู่บนเวที Opera ที่เป็นผลงานการคิดค้นของ Ferdinand Adolph Lange อีกเช่นเคย
ผมยังได้ไปร่วมรับชมการขับร้อง Opera ในพิธี Jubilee Celebration ที่น้อยคนนักจะได้เข้าชมซึ่งก่อนการแสดงจะเริ่ม Wilhelm Schmid CEO ของ A. Lange & Söhne ได้กล่าวเปิดงานและเล่าถึงความฝันของเขาที่มีต่อเวทีโอเปราแห่งนี้ ที่เขาอยากมีโอกาสขึ้นไปบนเวที Opera ที่ที่เขาร้องและเล่นไม่เป็น แต่ ณ วันนี้เขามีโอกาสมายืนอยู่บนนี้แล้ว และยืนพร้อมความภูมิใจที่จะฉลองให้กับความสำเร็จของแบรนด์ที่เขาร่วมพัฒนามากับมือตนเอง
นอกเหนือจากพิธีการและงานต่างๆ ยังมีการจัดทริปทัวร์ชิมไวน์ โดยพาไปเที่ยวชมไร่ไวน์ที่มีชื่อเสียงจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่เป็นความภาคภูมิใจอีกอย่างของชาวเมืองนี้ ตามด้วยดินเนอร์สุดหรู ซึ่งงานกาล่าดินเนอร์สำหรับค่ำคืนนั้นจัดขึ้นที่ Albertinum เป็นสถานที่สวยงามและอลังการ พร้อมการแสดงต่างๆที่สุดแสนประทับใจร่วมไปกับ Mr. Walter Lange และแขกผู้มีเกียรติที่ได้รับเชิญจากทั่วโลก
ในวันสุดท้ายเนื่องด้วยผมมีไฟท์บินกลับตอนค่ำ ผมจึงมีเวลาว่างพอที่ท่านประธานของ A. Lange & Söhne รู้ว่าแขกรับเชิญนั้นชอบอะไรบ้าง ส่วนผมนั้นชอบรถ เครื่องจักรกลและงานฝีมือ เลยได้จัดพาทัวร์พิเศษแบบส่วนตัว ไปโรงงานประกอบรถยนต์ที่แพงที่สุดและสวยที่สุดให้อีกทริป ซึ่งโรงงานนี้ผลิตและประกอบ Volkswagen Phaeton และ Bentley Flying Spur และได้ชื่อว่าเป็นโรงงานประกอบรถยนต์ที่สวยและแพงที่สุดของประเทศเยอรมันเลยทีเดียวครับ
ตามด้วยการชมโรงงานประดิษฐ์กระเบื้องเคลือบที่โด่งดังของโลก หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ Meissen ที่มีอายุถึง 300 ปี หลังจากทริปนี้แล้วผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักสะสมทุกคนอยากมีนาฬิกายี่ห้อนี้ไว้ครอบครอง จากที่ผมเดินเข้าไปในประวัติศาสตร์ที่สำคัญต่างๆของแบรนด์นี้แล้วบอกได้เลยครับว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่นักสะสมนาฬิกาทุกคนต้องมีไว้ในครอบครองจริงๆครับ
เรื่อง : Chettha Songthaveepool
เรียบเรียง : Jutalux Srihirun
12 ม.ค. 2559
3 ก.พ. 2559
3 ก.พ. 2559
20 ก.ย. 2567