Last updated: 14 มิ.ย. 2566 | 681 จำนวนผู้เข้าชม |
ความเชื่อมโยงกับรถยนต์ของ MB&F นั้นหยั่งรากลึกนับตั้งแต่เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 2012 ด้วยผลงานรุ่น HM5 ตามมาด้วย HMX ในปี ค.ศ. 2015 และ HM8 ในปี ค.ศ. 2016 โดยแต่ละผลงานสร้างสรรค์เหล่านี้ล้วนมีความเชื่อมโยงกันผ่านการแสดงเวลาสไตล์มาตรวัดความเร็ว (speedometer) บนด้านข้างของตัวเรือนอันเป็นที่จดจำได้ทันที ทั้งยังเชื้อชวนให้นึกถึงงานออกแบบอันกล้าหาญแห่งอนาคตของยุค 1970s
หนึ่งทศวรรษหลังจากที่เหล่า MB&F Machines รุ่นแรกๆ ที่มีแรงบันดาลใจมาจากยนตรกรรมได้ถูกรังสรรค์ขึ้น ในวันนี้ ผลงานสุดสร้างสรรค์ของแบรนด์ก็พร้อมที่จะเปิดผ้าคลุมอีกครั้ง เพื่อเผยโฉมความโดดเด่นใหม่ล่าสุดของ HM8 Mark 2 รุ่นซึ่งวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีอย่างก้าวล้ำสูงสุดในปัจจุบัน
ความใฝ่ฝันแรกเริ่ม
เพื่อให้เข้าใจถึงความเชื่อมโยงของ MB&F และโลกแห่งยานยนต์อย่างแท้จริง อาจต้องย้อนเวลากลับไปสู่ปี ค.ศ. 1985 ที่ในช่วงวัยเด็กนั้น เราทั้งหมดต่างก็มีความฝัน และบางความฝันนั้นก็ได้กลายเป็นจริง ขณะที่อีกหลากหลายความฝันกลับเลือนลางหายไปในระหว่างทาง และบ้างก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเป็นเราในวันนี้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเกิดขึ้นโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับเราโดยตรง และนั่นคือสิ่งเดียวกันกับที่ Maximilian Büsser (แม็กซิมิเลียน บูซเซอร์) ผู้ก่อตั้งของ เอ็มบีแอนด์เอฟ ซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงวัยเด็กของเขาไปกับความใฝ่ฝันในการเป็นนักออกแบบยานยนต์ เขาจึงหลงใหลอย่างมากกับแนวคิดของเขานับจากช่วงวัย 4 ถึง 18 ปี ที่รถยนต์นั้นเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะวาดและสเก็ตช์ภาพร่างไว้เสมอ ขณะที่เพื่อนๆ ร่วมชั้นของเขาเริ่มที่จะค้นพบกับพื้นที่ความสนใจอื่นๆ ทว่า หัวใจของแม็กซิมิเลียนนั้นก็ยังคงแน่วแน่อยู่กับเรื่องราวของยนตรกรรมที่มีเส้นสายการออกแบบตามหลักแอโรไดนามิคส์และรูปแบบที่ปราดเปรียวเสมอ
ณ ช่วงเวลาเพียงก่อนที่เขาจะจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม แม็กซิมิเลียนได้รู้ว่าวิทยาลัยการออกแบบ ArtCenter College of Design อันโด่งดังระดับโลกจากแพซาดีนา กำลังจะเปิดวิทยาเขตขึ้นในยุโรป และยังไม่ใช่เพียงในยุโรป แต่เป็น ณ La Tour-de-Peilz (ลา ตูร์-เดอ-แปลซ์) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านในวัยเด็กของเขาเลย นี่เองที่เป็นดั่งสัญญาณถึงบางอย่าง เขาแทบเก็บความรู้สึกตื่นเต้นไว้ไม่ไหว กระทั่ง พบว่าค่าธรรมเนียมของวิทยาลัยแห่งนี้สูงถึง 50,000 สวิสฟรังก์ ซึ่งนับเป็นจำนวนเงินที่มากแม้แต่ในวันนี้ และยิ่งเป็นเงินก้อนโตยิ่งกว่าเมื่อย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1985
ด้วยรู้ดีว่าเขานั้นชื่นชอบในรถยนต์มากเพียงใด บิดามารดาของเขาจึงออกปากว่าพวกเขาจะพยายามหาวิธี แต่กระนั้น แม็กซิมิเลียนเองรู้ดีว่านั่นอาจจะมากเกินไปสำหรับพวกเขา และเพราะทุกคนต่างพากันบอกกับเขาเสมอว่าเขาจะกลายเป็นวิศวกรที่ดีแน่ เพราะเขาเก่งคณิตศาสตร์ แม็กซิลิมิเลียนจึงสมัครเข้าเรียนที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิส โลซาน (Swiss Federal Institute of Technology Lausanne (EPFL)) และนั่นควรจะเป็นตอนจบของเรื่องราว แต่กลับมิใช่
“ผมหลงทาง แทบสิ้นหวัง แต่สุดท้ายเรื่องราวก็มาจบที่การได้เข้าสู่อุตสาหกรรมการประดิษฐ์นาฬิกา” แม็กซิมิเลียนเล่าพร้อมกับรอยยิ้ม “ด้วยเหตุนี้ เมื่อผมตัดสินใจที่จะผสมผสานงานออกแบบรถยนต์ลงในเรือนเวลา นี่จึงเป็นความคิดอันยิ่งใหญ่มากสำหรับผม เพราะมันคือทุกสิ่งที่ผมเคยใฝ่ฝันถึง”
เล่นกับปริซึม
แม็กซิลิมิเลียนค้นพบแรงบันดาลใจในงานออกแบบอันแสนแปลกประหลาดนี้มาจาก Amida (อมิดา) หรือที่เรียกขานกันว่า Amida Digitrend (อมิดา ดิจิเทรนด์) นาฬิกาที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 1976 ก่อนที่บริษัทจะล้มละลาย การทำงานบนแนวคิดที่คล้ายกันนี้ เอ็มบีแอนด์เอฟได้ใช้ปริซึมแซฟไฟร์ในการช่วยให้การแสดงเวลาแบบ jumping hours และการแสดงนาทีแบบกวาด (sweeping minutes) นั้นสามารถแสดงผลในแนวดิ่งได้ แม้ว่าแท้จริงแล้ว พวกมันจะแบนราบเหมือนกับแผ่นแพนเค้ก ณ ชั้นบนสุดของกลไก ขณะที่เวลาถูกแสดงผ่านช่องหน้าต่างซึ่งดูคล้ายกับมาตรวัดความเร็วยุคเก่าโดยจัดวางไว้บนด้านหน้าของตัวเรือนเพื่อให้อย่างน้อยยังคงสามารถมองเห็นได้อย่างง่ายดายแม้ขณะขับรถ กับความแตกต่างไปจาก อมิดา ซึ่งประกอบด้วยดิสก์วางเรียงต่อกัน ทว่า ในงานออกแบบของ MB&F HM นั้นประกอบไว้ด้วยดิสก์ที่วางซ้อนกัน เพื่อให้สามารถขยายขนาดของตัวเลขให้ได้มากที่สุด และจึงช่วยให้สามารถอ่านค่าได้อย่างชัดเจนสูงสุด
แนวคิดนี้ยังไม่จบเพียงเท่านั้น แต่ภารกิจหลักยังคงเป็นการทำให้บรรดาตัวเลขเหล่านี้ดูคล้ายกับเลขดิจิทัลหรือตัวเลขอิเล็กทรอนิกส์ และนั่นบรรลุผลสำเร็จได้โดยการดิสก์แซฟไฟร์ซึ่งผ่านกระบวนการเคลือบโลหะสีดำ เพื่อให้ตัวเลขเหล่านั้นมีความคมชัดที่สุด จากนั้นจึงเติมด้วยสารเรืองแสงซูเปอร์-ลูมิโนวา (Super-LumiNova®) ไว้ใต้ดิสก์แซฟไฟร์ เพื่อให้เกิดการเรืองแสงในแนวราบได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่โป่งหรือนูนขึ้นเหมือนกับที่นำมาใช้บนหน้าปัด สิ่งที่น่าสนใจอีกหนึ่งจุดก็คือบรรดาตัวเลขที่จำเป็นต้องสร้างสรรค์ขึ้นจากหลังสู่หน้า เพื่อให้เกิดภาพที่ปรากฏตรงกันข้ามภายในปริซึม
ระบบเช่นนี้เคยเกิดขึ้นสำเร็จมาแล้วในผลงาน HM5 ด้วยแผ่นระแนงเปิดและปิด ที่ช่วยให้แสงสามารถเข้าสู่กลไกเพื่อชาร์จพลังงานเรืองแสง แผ่นระแนงเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานออกแบบของ Marcello Gandini (มาร์เชลโล แกนดีนี) ให้กับ Bertone Lamborghini Miura (แบร์โทน ลัมโบร์กินี มิวร่า) ด้วยหลังคาลูฟว์บนกระจกท้าย และมอบสุนทรียะความสวยงามสไตล์ล้ำยุคแห่งอนาคตให้กับรถยนต์คันนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แผ่นระแนงเหล่านี้ยังถูกนำมาใช้ในผลงานรุ่นต่อมา อย่าง HMX โดยการใช้ตัวปิดกระจกแซฟไฟร์ที่มอบภาพการมองเห็นได้บางส่วนถึงเครื่องยนต์ด้านใต้ ผลงานนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากอีกหนึ่งผู้เชี่ยวชาญงานสร้างตัวถังรถพิเศษของอิตาลี อย่าง Touring Superleggera (ทัวริ่ง ซูเปอร์เลกเกรา) และติดตั้งด้วยรูปจำลองมาจากฝาปิดถังน้ำมัน ที่สามารถขันสกรูคลายออกเพื่อเติมน้ำมันหล่อลื่นสำหรับการประดิษฐ์นาฬิกาได้
ถัดมาคือผลงานเลื่องชื่อ อย่าง HM8 ‘Can-Am’ (เอชเอ็ม8 ‘แคน-แอม’) ที่มาพร้อมกระจกแซฟไฟร์ช่วยให้สามารถมองเห็นโรเตอร์ซึ่งหมุนอยู่ภายในได้ และเป็นกลไกชุดนี้ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจากกลไกฐานของ Girard-Perregaux calibre (จีราร์ด-แพร์โกซ์ คาลิเบอร์) ที่ได้มอบพื้นฐานสำคัญให้กับผลงานสร้างสรรค์ใหม่ล่าสุดของแบรนด์ อย่าง HM8 Mark 2 โดย HM8 ได้ต้นแบบ รวมถึงรหัสงานออกแบบมาจากรถแข่ง Can-Am (แคน-แอม) (จึงเป็นที่มาของชื่อเล่น) ในรายการ Canadian American Racing Championship (แคนาเดียน อเมริกัน เรซิ่ง แชมเปี้ยนชิพ) อันโด่งดัง ด้วยงานออกแบบพิเศษของรถยนต์ และโรลบาร์ (roll bars) โดดเด่นเฉพาะตัวที่ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับโรลบาร์ทำจากไทเทเนียมทั้งสองด้านของนาฬิกา ขณะเดียวกัน เอชเอ็ม8 มาร์ค 2 ยังค้นพบแรงบันดาลใจจากหลากหลายต้นกำเนิด อาทิ รถยนต์ Porsche 918 Spyder (ปอร์เช่ 918 สไปเดอร์) สำหรับการสร้างสรรค์รูปทรงของตัวเรือน และสำนักออกแบบ Zagato (ซากาโต) กับหลังคาทรงดับเบิล บับเบิล (double bubble) ที่นำมาเป็นแรงบันดาลใจของการสร้างสรรค์กระจกแซฟไฟร์
โครงสร้างตัวถัง
ไม่เฉพาะเพียงรหัสงานออกแบบของเรือนเวลาเหล่านี้ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากโลกแห่งยนตรกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงโครงสร้างตัวถังด้วย ที่แม็กซิมิเลียนได้ใช้ความรู้จากการจบการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ของเขาเองมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นในผลงานรุ่น HM5 และ HM8 Mark 2 ที่ถูกสร้างขึ้นจากโครงตัวเรือนอิสระกันน้ำได้ ซึ่งประกอบเสริมด้วยผนังตัวถังของนาฬิกา ขณะที่ เอชเอ็มเอ็กซ์ และเอชเอ็ม8 ยังได้ใช้โครงสร้างแบบชิ้นเดี่ยวหรือโมโนบล็อก (monobloc) เดียวกัน
สำหรับ HM8 Mark 2 รุ่นใหม่ ตัวถังของนาฬิกาข้อมือนี้ยังมาพร้อมกับตัวเลือกของวัสดุคาร์บอนมาโครลอน (CarbonMacrolon®) ทั้งในโทนสีขาว หรือสีเขียว British racing green (บริติช เรซิ่ง กรีน) ผ่านการตกแต่งแบบด้านบนด้านบน และขัดเงาพิเศษบนด้านข้าง สำหรับเวอร์ชันสีขาวยังจับคู่มากับโรเตอร์เคลือบ CVD (ซีวีดี) สีเขียว และเครื่องหมายหรือมาร์เกอร์แสดงนาทีสีเขียวอ่อน ขณะที่เวอร์ชัน บริติช เรซิ่ง กรีน มาพร้อมกับโรเตอร์เรดโกลด์ และบาลานซ์วีล พร้อมทั้งมาร์กเกอร์แสดงนาทีสีเทอร์ควอยซ์ ซึ่งผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 33 เรือน
คาร์บอนมาโครลอน
พัฒนาขึ้นพิเศษเฉพาะสำหรับ MB&F ที่ คาร์บอนมาโครลอน เป็นวัสดุคอมโพสิต ประกอบขึ้นด้วยโพลีเมอร์ เมทริกซ์ฉีดท่อนาโนคาร์บอน (carbon nanotubes) ซึ่งเสริมทั้งความหนาแน่นและความแข็งแกร่ง โดยท่อนาโนคาร์บอนมอบซึ่งความแข็งแรงดึงที่เหนือชั้นกว่า กับความแข็งที่มากกว่าการผนึกคาร์บอนไฟเบอร์แบบทั่วไป สำหรับคาร์บอนมาโคร-ลอนของ MB&F เป็นวัสดุเนื้อแข็งที่มีความแข็งแกร่ง และสามารถให้สีสัน ผ่านการขัดเงา ขัดบีดบลาสต์ (bead-blasted) เคลือบแล็กเกอร์ และขัดด้านแบบซาตินได้... และนอกเหนือจากคุณประโยชน์ทั้งหมดเหล่านี้แล้ว น้ำหนักซึ่งมีความเบากว่าสตีลถึงแปดเท่าของวัสดุ ยังมอบซึ่งความหลากหลายในการใช้งานได้อย่างสูงสุด และเป็นที่สนใจจากทั้งมุมมองของงานออกแบบและคุณสมบัติทางเทคนิคชั้นยอดอีกด้วย
ภายใต้ประทุน
เหมือนกับรถซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์อื่นๆ ที่เทคโนโลยีมากมายภายใน HM8 Mark 2 นี้ไม่อาจมองเห็นได้ทางภาพหรือด้วยตา เริ่มตั้งแต่ด้วยตัวถังไทเทเนียมซึ่งมีความซับซ้อนอย่างมากในการผลิตด้วยเครื่องจักร หรือแม้แต่ในสเตนเลสสตีลที่นับว่ามีความซับซ้อนอย่างมากในการสร้างสรรค์ แต่ด้วยเพราะความแข็งของโลหะผสมนี้ยังนับเป็นอีกหนึ่งงานอันท้าทายของทีมช่างเทคนิคของ MB&F ในการทดสอบ
เช่นเดียวกันกับผนังตัวเรือนคาร์บอนมาโครลอน ที่เนื่องจากเป็นการผลิตในจำนวนน้อย จึงจำเป็นต้องเจาะสกัดตัวเรือนจากวัสดุแท่งเดียว และเสริมด้วยอีกหนึ่งชั้นของความซับซ้อนให้กับตัวเรือนของนาฬิกา
ด้วยคอลเลกชันผลงานเรือนเวลา MB&F ที่มีมาอย่างยาวนานนั้นได้ผลักซึ่งขีดข้อจำกัดสู่สิ่งที่สามารถเป็นไปได้ทางกายภาพ โดยเฉพาะในแง่ของการผลิตกระจกแซฟไฟร์ และใน HM8 Mark 2 ก็เช่นเดียวกัน การสร้างสรรค์กระจกแซฟไฟร์โค้งคู่นี้บรรลุความซับซ้อนในการผลิตที่มีมูลค่าสูงกว่า 30 ถึง 40 เท่าของการผลิตกระจกแซฟไฟร์โค้งโดมแบบทั่วไป และมีเพียงผู้ผลิตหนึ่งเดียวที่กล้ารับภารกิจอันแสนท้าทายนี้ โดยในระหว่างหลายชั่วโมงที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตกระจกแซฟไฟร์แต่ละชิ้นนั้น ยังมีความเสี่ยงของการแตกที่สูงมาก และหากมีแนวโน้มที่จะแตก ก็มักจะเกิดขึ้นในช่วงท้ายมากๆ ของการผลิต จึงอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการสร้างสรรค์ที่ผ่านมาทั้งหมด แต่หากผ่านกระบวนการผลิตได้สำเร็จและปลอดภัย พร้อมที่จะติดตั้งเข้ากับเรือนเวลาแล้ว ก็ยังต้องมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับกระจกแซฟไฟร์บนนาฬิกาสปอร์ตทั่วไปอีกด้วย
สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุดนั้น ยังรวมถึงความโดดเด่นของโรเตอร์รูปทรงขวานรบที่ขับเคลื่อนกลไกอันเป็นความซับซ้อนน่าทึ่งในการสร้างสรรค์ เนื่องจากส่วนหนึ่งของใบมีดที่ทำจากทอง 22 กะรัตเหล่านี้นั้นมีความหนาเพียงสองในสิบของมิลลิเมตรเท่านั้น จึงไม่อาจเป็นไปได้ที่จะผ่านการผลิตขึ้นรูป แต่จำเป็นต้องใช้กระบวนการแสตมป์ พร้อมทั้งการแกะสลักที่จำเป็นต้องผสานลงสู่การแสตมป์ได้อย่างกลมกลืน
เม็ดมะยมเปิดตัวครั้งแรกของโลก
ไม่ได้ติดตั้งอยู่ใต้ประทุน แต่เป็นเหมือนการซ่อนอยู่ นั่นคือเม็ดมะยมชนิดใหม่ของแบรนด์ ซึ่งใช้ระบบ “ดับเบิล ดีคลัทช์” (double de-clutch) ของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยทำงานผ่านการกดเม็ดมะยมลง และหมุนไปสามในสี่ส่วนของหนึ่งการหมุนเพื่อคลายเม็ดมะยม ซึ่งมีข้อดีของการเพิ่มพื้นที่ได้มากขึ้น และมอบความปลอดภัยเสริมให้กับระบบที่นับเป็นข้อดีอย่างแท้จริงเช่นกันสำหรับนาฬิกาสปอร์ต
ภายใต้ผลงาน HM8 Mark 2 ได้ใช้ทุกสิ่งที่แฟนๆ ของเอ็มบีแอนด์เอฟ นั้นเคยหลงรักมาแล้วในซีรีส์แห่งยานยนต์ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา และยกระดับซึ่งความสามารถทางเทคนิคที่มากขึ้น เสริมด้วยประสิทธิภาพและความสามารถในการอ่านค่าได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังเซ็กซี่กว่า และง่ายดายกว่าในการสวมใส่บนข้อมือ ทว่า เหนือไปกว่านั้น คือการย้ำเตือนเราว่า ไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตมาจนถึงจุดใด ก็ไม่เคยช้าไปที่จะเดินตามความใฝ่ฝันของคุณเองได้เสมอ
‘เพื่อน’ ผู้รับผิดชอบการสร้างสรรค์ HM8 Mark 2
แนวคิด: Maximilian Büsser / MB&F
ออกแบบผลิตภัณฑ์: Eric Giroud
บริหารจัดการด้านเทคนิคและการผลิต: Serge Kriknoff / MB&F
ออกแบบกลไกและการตกแต่งคุณสมบัติเฉพาะต่างๆ: MB&F and Girard-Perregaux
พัฒนากลไก: Joey Miserez and Robin Cotrel / MB&F
วิจัยและพัฒนา: Joey Miserez and Robin Cotrel / MB&F
กรรมวิธีและการทดลองในห้องปฏิบัติการ: Maël Mendel and Anthony Mugnier / MB&F
เฟือง, เฟืองเดือย, กลไก, ชิ้นส่วนแกน: Paul-André Tendon / Bandi, Daniel Gumy / Decobar, Le Temps Retrouvé and Swiss Manufacturing
แท่นเครื่อง: Benjamin Signoud / AMECAP
สะพานจักร: Rodrigue Baume / HorloFab
งานตกแต่งด้วยมือของชิ้นส่วนกลไก: Jacques-Adrien Rochat and Denis Garcia / C-L Rochat, DSMI
การเคลือบ พีวีดี (PVD):: Pierre-Albert Steinmann / Positive Coating
การประกอบกลไก: Didier Dumas, Georges Veisy, Anne Guiter, Emmanuel Maitre, Henri Porteboeuf, Mathieu Lecoultre and Amandine Bascoul / MB&F
การบริการหลังการขาย: Antony Moreno / MB&F
การผลิตขึ้นรูปภายในโรงงาน: Alain Lemarchand, Jean-Baptiste Prétot, Stéphanie Carvalho Correia and Yoann Joyard / MB&F
การควบคุมคุณภาพ: Cyril Fallet and Jennifer Longuepez / MB&F / MB&F
ตัวเรือน: Alain Lemarchand, Jean-Baptiste Prétot and Stéphanie Carvalho Correia / MB&F
ผนังส่วนตัวเรือน: INJECTOR
ทอง ingots CoC (Chain of Custody): Jean-Philippe Chételat / Cendres et Métaux
การตกแต่งตัวเรือน: Bripoli, FIFAJ Horlogerie, Termin’hor
ดิสก์ชั่วโมงและนาที: Bloesch
หัวเข็มขัดสาย: G&F Chatelain
เม็ดมะยม: Boninchi
เข็มชี้: Waeber HMS
กระจกแซฟไฟร์: Novocristal
กระบวนการโลหะ: Econorm
สาย: Multicuirs
กล่องบรรจุภัณฑ์: Olivier Berthon / SoixanteetOnze
โลจิสติกส์การผลิต: David Lamy, Ashley Moussier, Fanny Boutier, Mélanie Ataide, Thibaut Joannard, Maryline Leveque, Emilie Burnier and Thi-Kim Phy Pham / MB&F
การตลาดและสื่อสาร: Charris Yadigaroglou, Vanessa André, Arnaud Légeret, Paul Gay and Talya Lakin / MB&F
ออกแบบกราฟิก: Sidonie Bays / MB&F
M.A.D.Gallery: Hervé Estienne and Margaux Dionisio Cera / MB&F
ฝ่ายขาย: Thibault Verdonckt, Virginie Marchon, Cédric Roussel, Jean-Marc Bories and Augustin Chivot / MB&F
เนื้อหา: Sophie Furley / Worldtempus
ภาพถ่ายผลิตภัณฑ์: Laurent-Xavier Moulin and Gustavo Kuri
ภาพยนตร์: Marc-André Deschoux / MAD LUX
ภาพถ่ายบุคคล: Régis Golay / Federal
เว็บไซต์: Stéphane Balet / Ideative
เกี่ยวกับ MB&F
ต้นกำเนิดแห่งแนวคิดห้องปฏิบัติการด้านเครื่องจักรกลบอกเวลา
ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2005 MB&F คือห้องปฏิบัติการเครื่องจักรกลบอกเวลาแนวคิดใหม่แห่งแรกของโลก ด้วยชุดกลไกที่น่าทึ่งเกือบ 20 ชุด ที่สร้างฐานอันมั่นคงให้กับเครื่องจักรกลบอกเวลาอันมีชื่อเสียง ทั้งในคอลเลกชัน Horological Machines (ออโรโลจิคัล แมชชีน) และ Legacy Machines (เลกาซี แมชชีน) โดยเอ็มบีแอนด์เอฟ ยังคงดำเนินรอยตามวิสัยทัศน์ของ Maximilian Büsser (แม็กซิมิเลียน บูซเซอร์) ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการด้านการสร้างสรรค์ในการสร้างศิลปะจลศาสตร์สามมิติที่แตกต่างจากการประดิษฐ์นาฬิกาแบบดั้งเดิม
หลัง 15 ปีของการบริหารงานให้กับเหล่าแบรนด์นาฬิกาอันทรงเกียรติ แม็กซิมิเลียน บูซเซอร์ ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการบริหาร ณ Harry Winston (แฮร์รี วินสตัน) ในปี ค.ศ. 2005 เพื่อสร้างสรรค์แบรนด์ MB&F ที่ย่อมาจาก Maximilian Büsser & Friends (แม็กซิมิเลียน บูซเซอร์ แอนด์ เฟรนด์ส) โดย MB&F เป็นห้องปฏิบัติการเชิงศิลป์และวิศวกรรมจุลภาค ที่ทุ่มเทให้กับการออกแบบและประดิษฐ์รังสรรค์นาฬิกาตามแนวคิดสุดขั้ว ด้วยจำนวนการผลิตไม่มาก แต่เป็นการรวบรวมเหล่ายอดฝีมือและมืออาชีพด้านเครื่องบอกเวลาผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ ที่บูซเซอร์ทั้งให้ความเคารพและสนุกกับการทำงานร่วมกัน
ในปี ค.ศ. 2007 MB&F เปิดตัวนาฬิกา Horological Machine (ออโรโลจิคัล แมชชีน) รุ่นแรกใน HM1 ภายใต้ประติมากรรมตัวเรือนสามมิติและเครื่องยนต์ (กลไก) ที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งได้มอบมาตรฐานให้กับเหล่านาฬิกาในตระกูล Horological Machine รุ่นถัดมา ที่นับเป็นแมชชีน (Machines) ทุกๆ เรือนซึ่งบอกเวลาได้ มิใช่เป็นเพียงในฐานะเครื่องบอกเวลาเท่านั้น โดย Horological Machine ได้ออกสำรวจมาแล้วทั้งในโลกอวกาศ (HM2, HM3, HM6), ท้องฟ้า (HM4, เHM9), ท้องถนน (HM5, HMX, HM8) และอาณาจักรของสัตว์ (HM7, HM10)
ในปี ค.ศ. 2011 MB&F เปิดตัวคอลเลกชัน Legacy Machines ภายใต้ตัวเรือนทรงกลมร่วมสมัย โดยผลงานเหล่านี้เป็นมากกว่าความคลาสสิกซึ่งรังสรรค์ขึ้นเพื่อสดุดีให้กับความเป็นเลิศของการประดิษฐ์นาฬิกาในศตวรรษที่ 19 โดยการตีความใหม่ให้กับความซับซ้อนจากเหล่านักประดิษฐ์นวัตกรรมเรือนเวลาผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตเพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัย เริ่มจากผลงาน LM1 และ LM2 จากนั้นจึงตามมาด้วย LM101 ที่นับเป็นเครื่องจักรบอกเวลาหรือแมชชีนของ MB&F นำเสนอด้วยกลไกซึ่งพัฒนาขึ้นทั้งหมดภายในโรงงานของตนเอง (in-house) ก่อนจะขยายคอลเลกชันนี้ไปสู่ความสมบูรณ์แบบและซับซ้อนของทั้งผลงาน LM Perpetual (แอลเอ็ม เพอร์เพทชวล), LM Split Escapement (แอลเอ็ม สปลิท เอสเคปเมนท์) และ LM Thunderdome (แอลเอ็ม ธันเดอร์โดม) โดยในปี ค.ศ. 2019 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ กับการสร้างสรรค์ MB&F Machine รุ่นแรกที่อุทิศให้กับสุภาพสตรี นั่นคือ LM FlyingT (แอลเอ็ม ฟลายอิ้งที) และ MB&F ได้เฉลิมฉลอง 10 ปีของ Legacy Machines น ในปี ค.ศ. 2021 ด้วย แอลเอ็มเอ็กซ์ (LMX) ซึ่งโดยปกติแล้ว MB&F จะสลับระหว่างการเปิดตัว Horological Machine อันร่วมสมัยและแปลกแหวกแนวไปจากประเพณีดั้งเดิม กับผลงานของ Legacy Machines ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่
โดยมี F ที่หมายถึงผองเพื่อน (Friends) และเป็นไปโดยธรรมชาติที่ MB&F ได้พัฒนาความร่วมมือขึ้นมากมายร่วมกับเหล่าศิลปิน ช่างนาฬิกา นักออกแบบ และผู้ผลิต ที่พวกเขาต่างยกย่อง และด้วยความร่วมมือนี้เองที่ได้นำพามาซึ่งสองสาขาใหม่ นั่นคือศิลปะการแสดง (Performance Art) และความร่วมมือแห่งการสร้างสรรค์ (Co-creations) ขณะที่ชิ้นงานศิลปะการแสดงนั้นคือแมชชีนรุ่นต่างๆ ของ MB&F ที่ได้นำมากลับมารังสรรค์ใหม่อีกครั้งโดยผู้เชี่ยวชาญและเปี่ยมด้วยพรสวรรค์จากนอกองค์กร กับความร่วมมือแห่งการสร้างสรรค์ต่างๆ ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพียงนาฬิกาข้อมือ แต่ยังรวมไปถึงประเภทอื่นๆ ของเครื่องยนต์จักรกลหรือแมชชีน ที่ผ่านการคิดค้นทางวิศวกรรมและรังสรรค์ขึ้นด้วยงานฝีมือโดยเหล่าผู้ผลิตนาฬิกาสวิสจากแนวคิดและงานออกแบบของ เอ็มบีแอนด์เอฟ และผลงานหลายๆ ชิ้นจากความร่วมมือแห่งการสร้างสรรค์เหล่านี้ อาทิ นาฬิกาคล็อกบอกเวลาที่สร้างสรรค์ขึ้นร่วมกับ L’Epée 1839 (เลเป 1839) เช่นเดียวกับความร่วมมืออื่นๆ กับ Reuge (รูช) และ Caran d’Ache (คารันดาช) ที่ได้สร้างสรรค์หลากหลายรูปแบบของศิลปะจักรกลไว้ด้วยกัน
และเพื่อมอบสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์จักรกลหรือแมชชีนเหล่านี้ทั้งหมด บูซเซอร์ได้มีแนวคิดของการจัดแสดง ผลงานเหล่านี้ไว้ภายในแกลลอรีศิลปะ ร่วมไปกับอีกหลากหลายรูปแบบของศิลปะจักรกลที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยศิลปินแขนงอื่นๆ ที่เป็นมากไปกว่าการจัดแสดงหน้าร้านเหมือนทั่วไป และนั่นได้นำมาสู่การสร้างสรรค์ของ MB&F M.A.D.Gallery (เอ็มบีแอนด์เอฟ แมดแกลลอรี) (M.A.D. หมายถึง Mechanical Art Devices) แห่งแรกขึ้นในเจนีวา ซึ่งต่อมายังได้เปิดตัวตามมาโดยเหล่าแมดแกลลอรีแห่งต่างๆ ทั้งในไทเป ดูไบ และฮ่องกง
มากไปกว่านั้น ยังมีรางวัลอันโดดเด่นอีกมากมายที่ย้ำเตือนถึงธรรมชาติแห่งนวัตกรรมการเดินทางสร้างสรรค์สำหรับ MB&F ซึ่งหากจะกล่าวถึงบางส่วนแล้ว มีไม่น้อยกว่า 9 รางวัลจากเวทีอันมีชื่อเสียงและทรงเกียรติสูงสุดของ Grand Prix d'Horlogerie de Genève (กรังด์ ปรีซ์ เดอ’ออร์โลเฌอรี เดอ เฌแนฟ) ซึ่งรวมไปถึงรางวัลสูงสุด อย่าง เข็มทองคำ (“Aiguille d’Or”) ที่มอบให้กับนาฬิกายอดเยี่ยมแห่งปี โดยในปี ค.ศ. 2022 แอลเอ็ม ซีเควนเชียล อีโว (LM Sequential EVO) ได้รับรางวัลเข็มทองคำ (Aiguille d’Or) ขณะที่ แมดวัน เรด (M.A.D.1 RED) คว้ารางวัลประเภทชาเลนจ์ (‘Challenge’) มาได้สำเร็จ เช่นเดียวกับใน ค.ศ. 2021 ที่เอ็มบีแอนด์เอฟ ได้รับสองรางวัลอันทรงเกียรติ โดยรางวัลหนึ่งสำหรับผลงานรุ่น แอลเอ็มเอ็กซ์ (LMX) ในฐานะนาฬิกาสลับซับซ้อนสำหรับสุภาพบุรุษยอดเยี่ยม (Best Men’s Complication) และอีกหนึ่งรางวัลจาก แอลเอ็ม เอสอี เอ็ดดี้ ฌาเกต์ ‘อะราวนด์ เดอะ เวิลด์ อิน เอจตี้ เดย์ส’ (LM SE Eddy Jaquet ‘Around The World in Eighty Days’) ในประเภท ‘งานหัตถศิลป์’ (‘Artistic Crafts’) ขณะที่ในปี ค.ศ. 2019 จากรางวัลนาฬิกาสลับซับซ้อนสำหรับสุภาพสตรียอดเยี่ยม (Best Ladies Complication) ที่มอบให้กับ แอลเอ็ม ฟลายอิ้งที (LM FlyingT) และในปี ค.ศ. 2016 จาก แอลเอ็ม เพอร์เพทชวล (LM Perpetual) ที่ชนะรางวัลนาฬิกาปฏิทินยอดเยี่ยม (Best Calendar Watch) หรือเช่นในปี ค.ศ. 2012 ที่ เลกาซี แมชชีน นัมเบอร์ 1 (Legacy Machine No.1) ได้คว้ารางวัลทั้งในสาขารางวัลสาธารณชน (Public Prize) (ซึ่งโหวตโดยเหล่าคนรักเรือนเวลา) และรางวัลนาฬิกาสุภาพบุรุษยอดเยี่ยม (Best Men’s Watch Prize) (โหวตให้โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ) และในปี ค.ศ. 2010 เอ็มบีแอนด์เอฟ ชนะรางวัลนาฬิกาคอนเซปต์และงานออกแบบยอดเยี่ยม (Best Concept and Design Watch) จากผลงานรุ่น เอชเอ็ม4 ธันเดอร์โบลต์ (HM4 Thunderbolt) ส่วนในปี ค.ศ. 2015 เอ็มบีแอนด์เอฟได้รับรางวัลยอดเยี่ยมของ เรด ดอท (Red Dot: Best of the Best) ซึ่งนับเป็นรางวัลสูงสุดของการมอบรางวัลระดับสากล เรด ดอท อวอร์ดส (Red Dot Awards) จากผลงานรุ่น เอชเอ็ม6 สเปซ ไพเรท (HM6 Space Pirate)
23 พ.ย. 2567
22 พ.ย. 2567
23 พ.ย. 2567
21 พ.ย. 2567