Last updated: 2 พ.ค. 2567 | 389 จำนวนผู้เข้าชม |
MB&F (เอ็มบี แอนด์ เอฟ) เชื่อมโยงความหลงใหลในโลกแห่งยานยนต์ นับตั้งแต่ปี 2012 ด้วยผลงาน HM5 ตามมาด้วย HMX ในปี 2015 และ HM8 ในปี 2016 ผลงานแต่ละรุ่นด้านข้างตัวเรือนสะท้อนความเท่ผ่านมาตรวัดความเร็วที่สามารถจดจำได้ตั้งแต่แรกเห็น ชวนให้นึกถึงการออกแบบที่ท้าทายและล้ำสมัยของปี 1970 หนึ่งทศวรรษหลังจากเครื่องบอกเวลา MB&F ได้รับแรงบันดาลใจจากรถยนต์ ทางแบรนด์ได้ต่อยอดด้วยการเปิดตัว HM8 Mark 2 ในปี 2023 ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากซุปเปอร์คาร์
หลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดตัวสองรุ่นในปี 2023 – ด้วยเคสตัวเรือนสีขาวหรือสีเขียว โดยรุ่นหลังผลิตจำนวนจำกัดเพียง 33 เรือน – ผลงาน HM8 Mark 2 กลับมาพร้อมกับรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นอีกครั้งในปี 2024 มาพร้อมตัวเรือนสีน้ำเงินเงาวาว ผลิตเพียง 33 เรือน เม็ดสีเมทัลลิกที่มีลักษณะเป็นวัสดุโปร่งแสง ตัวเรือนสีน้ำเงินชวนให้นึกถึงสีรถสุดหรูทั้งทางด้านเทคนิคและความสวยงาม
จุดเริ่มต้นความฝัน
เพื่อให้เข้าใจถึงความเชื่อมโยงของ MB&F กับโลกของยานยนต์อย่างถ่องแท้ ต้องย้อนเวลากลับไปในช่วงปี 1985 โดยในวัยเด็ก แต่ละคนต่างมีความฝัน ฝันนั้นอาจจะกลายเป็นจริง หรือถูกทิ้งไว้ระหว่างทาง และบางความฝันนั้นอาจเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างความฝันของ Maximilian Büsser ผู้ก่อตั้ง MB&F ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ในวัยเด็กได้ใฝ่ฝันที่จะเป็นนักออกแบบรถยนต์ เขารู้สึกชอบและมีไอเดียในการออกแบบตั้งแต่อายุ 4 ถึง 18 ปี รถยนต์เป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถร่างภาพได้ เมื่อเพื่อนร่วมชั้นของเขาเริ่มสนใจสิ่งอื่น แต่เขายังคงหลงใหลในรถยนต์อย่างแน่วแน่ ด้วยเส้นสายตามหลักอากาศพลศาสตร์และรูปทรงที่ทันสมัย
ก่อนสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย เขาได้ทราบว่า ArtCenter College of Design ที่มีชื่อเสียงระดับโลกจาก Pasadena กำลังจะเปิดวิทยาเขตในยุโรป และไม่ใช่แค่ในยุโรปเท่านั้น แต่ใน La Tour-de-Peilz ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขาในช่วงวัยเด็ก นี่อาจเป็นสัญญาณใช่ไหม? เขาแทบจะกลั้นความตื่นเต้นไว้ไม่ไหว จนกระทั่งมาทราบว่าค่าเล่าเรียนอยู่ที่ 50,000 ฟรังก์สวิส ซึ่งเป็นเงินจำนวนมากในปัจจุบัน และมีมูลค่ามหาศาลเมื่อเทียบในปี 1985
เรารู้ว่าเขาชอบรถยนต์มากแค่ไหน พ่อแม่ของเขากล่าว พวกเขาพยายามหาหนทาง แต่ Maximilian รู้ว่าเงินจำนวนนั้นมากเกินไป ในขณะที่ทุกคนบอกว่าเขาอาจกลายเป็นวิศวกรที่เก่งกาจเพราะเก่งทางด้านคณิตศาสตร์ แต่เขากลับเลือกสมัครเข้าเรียนที่ Swiss Federal Institute of Technology Lausanne (EPFL) และนั่นอาจเป็นจุดสิ้นสุดเรื่องราวความชอบรถยนต์ แต่ ไม่ใช่
“ผมหลงทาง สูญเสียตัวตน และจบลงที่อุตสาหกรรมการผลิตนาฬิกา” เขาเล่าด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้น เมื่อผมตัดสินใจที่จะออกแบบนาฬิกาที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถยนต์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญเพราะนี่คือสิ่งที่ผมเคยฝันไว้”
เล่นกับวัสดุโปร่งแสง
เขาศึกษาแรงบันดาลใจในการออกแบบอันท้าทายของ Amida ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Amida Digitrend ซึ่งเป็นนาฬิกาที่เปิดตัวในปี 1976 ก่อนที่บริษัทจะล้มละลาย ด้วยแนวคิดที่คล้ายกับ MB&F ที่ใช้แซฟไฟร์โปร่งใสในการแสดงเวลาชั่วโมงแบบ jumping hours และนาที sweeping minutes ในแนวตั้ง โดยแท้ที่จริงนาฬิกาแบบแบนราบคล้ายแพนเค้กที่ด้านบนวางกลไก แสดงเวลาผ่านหน้าต่างที่มีลักษณะคล้ายมาตรวัดความเร็วในอดีตตรงด้านหน้าตัวเรือน ซึ่งสามารถมองเห็นได้ง่ายในขณะขับรถ การออกแบบต่างจาก Amida ที่มีแผ่นดิสก์วางติดกัน แต่นาฬิกา MB&F HM มีลักษณะเป็นแผ่นดิสก์ที่วางซ้อนกัน ช่วยเพิ่มขนาดตัวเลขให้ใหญ่ขึ้นและด้วยเหตุนี้จึงอ่านค่าเวลาได้อย่างชัดเจน
แนวคิดในการออกแบบไม่ได้จบเพียงเท่านั้น เนื่องจากมีมิชชั่นในการทำให้ตัวเลขคล้ายดิจิทัลหรืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำได้โดยใช้จานแซฟไฟร์ที่เคลือบด้วยไอโลหะสีดำ ทำให้ตัวเลขดูชัดเจน จากนั้นจึงเพิ่มสารเรืองแสง Super-LumiNova® ไว้ข้างใต้แผ่นแซฟไฟร์ เพื่อให้การเรืองแสงสมบูรณ์แบบ ไม่มีลักษณะนูนออกมาเหมือนที่เคยปรากฏบนหน้าปัดนาฬิกาอื่นๆ เป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะการออกแบบกลับด้านของตัวเลขจากด้านหลังมาด้านหน้าบนแผ่นโปร่งแสง
เทคนิคนี้เริ่มต้นในผลงาน HM5 ด้วยแผ่นเปิดและปิดที่ช่วยให้แสงส่องเข้าสู่กลไกเพื่อชาร์จพลังงานการเรืองแสง ระแนงนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบของ Marcello Gandini สำหรับ Bertone Lamborghini Miura โดยมีบานเกล็ดที่กระจกด้านหลังซึ่งทำให้รถมีความสวยงามและดูล้ำสมัย ระแนงนี้ถูกยกเลิกในรุ่น HMX โดยเลือกใช้ฝาครอบคริสตัลแซฟไฟร์ที่ช่วยให้มองเห็นกลไกได้บางส่วน ผลงานเรือนนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากผู้สร้างรถโค้ชชาวอิตาลีอีกรายหนึ่ง นั่นคือ Touring Superleggera ที่ติดตั้ง Oil-Filler Caps ขนาดเล็กที่สามารถคลายเกลียว เพื่อให้ช่างนาฬิกาสามารถหยอดน้ำมันเพื่อเป็นการดูแลรักษานาฬิกา
ถัดมาคือ HM8 'Can-Am' เลือกใช้คริสตัลแซฟไฟร์เพื่อช่วยให้มองเห็นโรเตอร์ที่กำลังหมุนอยู่ อีกทั้งยังบรรจุกลไก Girard-Perregaux Calibre ซึ่งกลายเป็นกลไกพื้นฐานสำหรับ HM8 Mark 2 รุ่นใหม่ล่าสุด โดยนาฬิกา HM8 นำแนวทางในการออกแบบรถยนต์ Can-Am (ที่กลายเป็นชื่อเล่นของรุ่น) จากการแข่งรถ Canadian American อันโด่งดัง การออกแบบที่ไม่ธรรมดาของรถยนต์และโรลบาร์อันโดดเด่นกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับโรลบาร์ไทเทเนียมของนาฬิกาทั้งสองรุ่น
ในทางกลับกัน HM8 Mark 2 เลือกใช้คริสตัลแซฟไฟร์แบบ "double bubble" โดยได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากซุปเปอร์คาร์บางรุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
โครงสร้างแชสซีของตัวเรือน
แรงบันดาลใจในโลกของยานยนต์ไม่เพียงแต่ช่วยให้ค้นพบรหัสการออกแบบนาฬิกาเท่านั้น แต่โครงสร้างก็ซ่อนไว้ด้วยแรงบันดาลใจเช่นกัน ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์ของ Maximilian องค์ความรู้ไม่สูญเปล่า! นาฬิกา HM5 และ HM8 Mark 2 สร้างขึ้นจากโครงสร้างตัวเรือนที่สามารถกันน้ำ นาฬิกามีการเพิ่มเคสตัวเรือน ในขณะที่ผลงาน HMX และ HM8 มาในโครงสร้างแบบโมโนบล็อก
สำหรับนาฬิกา HM8 Mark 2 มีให้เลือกระหว่าง CarbonMacrolon® สีขาวหรือสีเขียวตามสไตล์รถแข่งของอังกฤษ ซึ่งขัดเงาพื้นผิวด้านด้านบนและด้านข้างตัวเรือน รุ่นสีขาวจับคู่กับโรเตอร์ CVD สีเขียวและมาร์กเกอร์นาทีสีเขียวอ่อน ในขณะที่รุ่นสีเขียวมาพร้อมโรเตอร์และบาลานซ์วีลสีเรดโกลด์ และมาร์กเกอร์นาทีเทอร์ควอยซ์ ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 33 เรือน
หลังจากเปิดตัวครั้งแรกในปี 2023 ทาง MB&F ได้ตัดสินใจที่จะสานต่อการออกแบบผลงานที่เคารพต่อโลกยานยนต์ด้วยผลงานรุ่นใหม่ที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 33 เรือน
นาฬิกา HM8 Mark 2 ผลิตจากแซฟไฟร์สีน้ำเงินเข้มแวววาว จากเม็ดสีโลหะที่มีต้นกำเนิดจากแร่ เช่นเดียวกับสีรถยนต์เมทัลลิก โดยมีลักษณะเป็นผงที่ผสมอยู่ในเรซิน ต้องใช้กรรมวิธีเฉพาะเจาะจงในการผลิต (เวลาในการผสม อุณหภูมิในการผสม ความเร็วและระยะเวลาในการผสม เป็นต้น)
แผงหน้าปัดสีน้ำเงินที่สวยงามมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นาฬิกาจึงมาพร้อมสีสันดึงดูดใจของผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ ประกอบด้วยสายหนังลูกวัวสีขาวสไตล์สปอร์ตที่สวมใส่สบาย
คาร์บอนมาโครลอน®
CarbonMacrolon® ได้รับการพัฒนาโดยเฉพาะสำหรับ MB&F เป็นวัสดุคอมโพสิตที่ประกอบด้วยเมทริกซ์โพลีเมอร์ที่ฉีดสารด้วยท่อนาโนคาร์บอน เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งทนทาน ท่อนาโนคาร์บอนมีความต้านทานแรงดันและความแข็งที่เหนือกว่าการเสริมด้วยคาร์บอนไฟเบอร์แบบดั้งเดิม CarbonMacrolon® ของ MB&F เป็นวัสดุแข็งพิเศษและสามารถลงสี ขัดเงา การพ่นพื้นผิว แล็คเกอร์ การขัดแบบซาติน...
นอกเหนือจากคุณลักษณะทั้งหมดนี้แล้ว ยังมีน้ำหนักเบากว่าสเตนเลสสตีลถึงแปดเท่า ทำให้ผลงานรุ่นนี้ดูน่าสนใจเป็นอย่างมากทั้งมุมมองทางด้านเทคนิคและการออกแบบ
ใต้ฝากระโปรง
เฉกเช่นกับรถซุปเปอร์คาร์หรือไฮเปอร์คาร์ นาฬิกา HM8 Mark 2 แฝงด้วยเทคโนโลยีมากมายที่ไม่สามารถมองเห็นได้ทั้งหมด เริ่มจากแชสซีไทเทเนียม ซึ่งมีความซับซ้อนในการผลิต หรือแม้โครงสร้างสเตนเลสสตีลก็ตาม ก็ยังซับซ้อนเช่นกัน ด้วยความแข็งของโลหะผสมนี้จึงเป็นบททดสอบที่ท้าทายความสามารถของทีมช่างเทคนิคจาก MB&F
เช่นเดียวกันกับตัวเรือน CarbonMacrolon® ซึ่งมีปริมาณการผลิตเพียงเล็กน้อย จึงขึ้นโครงจากบล็อกเท่านั้น เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของโครงสร้างตัวเรือนนาฬิกาไปอีกขั้น
นาฬิกา MB&F หลายรุ่นได้ก้าวข้ามขีดจำกัด ในแง่การผลิตคริสตัลแซฟไฟร์ โดยผลงาน HM8 Mark 2 ก็ไม่มีข้อยกเว้น การสร้างแซฟไฟร์แบบโค้งคู่ที่มีความซับซ้อนทำให้มีราคาสูงกว่าแซฟไฟร์แบบโดมถึง 30 หรือ 40 เท่า มีเพียงซัพพลายเออร์รายเดียวเท่านั้นที่ตกลงรับงาน ในการผลิตคริสตัลแซฟไฟร์แต่ละชิ้นต้องใช้ระยะเวลาหลายชั่วโมง มีความเสี่ยงที่จะแตกหักสูงมาก และมักจะเกิดการแตกในวินาทีสุดท้ายเสมอ แต่ถ้าหากนำมาประกอบเข้ากับนาฬิกาเรียบร้อยแล้ว จะมีความแข็งแกร่งพอๆ กับคริสตัลแซฟไฟร์ในนาฬิกาสปอร์ตเรือนอื่นๆ
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด โรเตอร์ทรงขวานรบที่ขับเคลื่อนกลไกนั้นซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ ใบพัดทองคำ 22K มีความหนาเพียง 0.2 มิลลิเมตร จึงไม่สามารถขัดแต่งได้ดังนั้นจึงต้องประทับตราแทน
เม็ดมะยมแบบเวิล์ดพรีเมียร์
ซึ่งไม่ได้อยู่ใต้ฝาครอบ แต่ซ่อนไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยเม็ดมะยมรูปแบบใหม่ที่มีระบบ "คลัตช์คู่" สะท้อนความเท่ของรถยนต์ ทำงานด้วยการดันเม็ดมะยมเข้าไปแล้วหมุนสามในสี่ของรอบเพื่อปลดเม็ดมะยม นี่เป็นข้อดีในการเพิ่มพื้นที่และให้ความปลอดภัยแก่กลไก ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบอย่างแท้จริงสำหรับนาฬิกาสปอร์ต
ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา นาฬิกา HM8 Mark 2 สะท้อนสิ่งที่แฟน ๆ MB&F ชื่นชอบในซีรีย์ยานยนต์ โดยได้เพิ่มประสิทธิภาพด้านเทคนิค อ่านเวลาชัดเจนขึ้น ดูมีเสน่ห์ขึ้น และสวมใส่ง่ายขึ้น และยิ่งกว่านั้นยังเป็นเครื่องเตือนใจ ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะทำตามความฝัน
HM8 MARK 2 - รายละเอียดทางเทคนิค
นาฬิกา HM8 Mark 2 มีจำหน่ายในรุ่น:
- ผลิตจากไทเทเนียมและเคสตัวเรือน CarbonMacrolon® สีเขียว ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 33 เรือน
- ผลิตจากไทเทเนียมและเคสตัวเรือน CarbonMacrolon® สีขาว
- ผลิตจากไทเทเนียมและเคสตัวเรือน CarbonMacrolon® สีน้ำเงิน ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 33 เรือน
กลไก
กลไกบอกเวลาแบบสามมิติ ประกอบด้วยโมดูลแสดงเวลาชั่วโมงแบบ jumping hours และนาที sweeping minutes ขับเคลื่อนโดยกลไกพื้นฐาน Girard-Perregaux ที่พัฒนาโดย MB&F
กลไกขึ้นลานอัตโนมัติ
โรเตอร์ขึ้นลานอัตโนมัติทอง 22K
สำรองพลังงาน : 42 ขั่วโมง
เดินด้วยความถี่: 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง หรือ 4 เฮิร์ต
ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วน: 247 ชิ้น
จำนวนทับทิม: 30 เม็ด
ฟังก์ชั่น/การแสดงผล
ชั่วโมงแบบ jumping hours แบบสองทิศทางและนาทีแบบกวาด แสดงผ่านคริสตัลแซฟไฟร์โปร่งแสงคู่พร้อมเลนส์ขยายในตัว
ตัวเรือน
ไทเทเนียมเกรด 5 พร้อม CarbonMacrolon® สีเขียว สีขาว หรือสีน้ำเงิน
ขนาด: 47 x 41.5 x 19 มม
ชิ้นส่วนประกอบ: 42 ชิ้น
สามารถกันน้ำได้ลึก: 30 เมตร
คริสตัลแซฟไฟร์
คริสตัลแซฟไฟร์ด้านบน ด้านหน้า และด้านหลังของดิสเพลย์แสดงผลเคลือบสารกันแสงสะท้อนทั้งสองด้าน
คริสตัลแซฟไฟร์พร้อมเลนส์ขยายคู่
สายนาฬิกาและตัวล็อคสาย
สายหนังลูกวัว – สีขาวสำหรับรุ่นสีเขียวตามสไตล์อังกฤษและแซฟไฟร์สีน้ำเงิน และสีเขียวสำหรับรุ่นสีขาวพร้อมตัวล็อคสายไทเทเนียม
'เพื่อน' ผู้รับผิดชอบในการสร้างสรรค์ HM8 MARK 2
แนวคิด: Maximilian Büsser / MB&F
ออกแบบผลิตภัณฑ์: Eric Giroud
บริหารจัดการด้านเทคนิคและการผลิต: Serge Kriknoff / MB&F
ออกแบบกลไกและการตกแต่งคุณสมบัติเฉพาะต่างๆ: MB&F and Girard-Perregaux
พัฒนากลไก: Robin Cotrel / MB&F
วิจัยและพัฒนา: Robin Cotrel / MB&F
กรรมวิธีและการทดลองในห้องปฏิบัติการ: Maël Mendel and Anthony Mugnier / MB&F
เฟือง, เฟืองเดือย, กลไก, ชิ้นส่วนแกน: Paul-André Tendon / Bandi, Daniel Gumy / Decobar, Le Temps Retrouvé and Swiss Manufacturing
แท่นเครื่อง: Benjamin Signoud / AMECAP
สะพานจักร: Rodrigue Baume / HorloFab
งานตกแต่งด้วยมือของชิ้นส่วนกลไก: Jacques-Adrien Rochat and Denis Garcia / C-L Rochat, DSMI
การเคลือบ พีวีดี: Pierre-Albert Steinmann / Positive Coating
การประกอบกลไก: Didier Dumas, Georges Veisy, Anne Guiter, Emmanuel Maitre, Henri Porteboeuf, Mathieu Lecoultre, Amandine Bascoul and Loïc Robert-Nicoud / MB&F
การบริการหลังการขาย: Antony Moreno / MB&F
การผลิตขึ้นรูปภายในโรงงาน: Alain Lemarchand, Jean-Baptiste Prétot, Stéphanie Carvalho Correia and Yoann Joyard / MB&F
การควบคุมคุณภาพ: Cyril Fallet and Jennifer Longuepez / MB&F / MB&F
ตัวเรือน: Alain Lemarchand, Jean-Baptiste Prétot and Stéphanie Carvalho Correia / MB&F
ผนังส่วนตัวเรือน: INJECTOR
ทอง ingots CoC (Chain of Custody) : Jean-Philippe Chételat / Cendres et Métaux
การตกแต่งตัวเรือน: Bripoli, FIFAJ Horlogerie,Termin’hor
ดิสก์ชั่วโมงและนาที: Bloesch
ตัวล็อคสายแบบหัวเข็มขัด: G&F Chatelain
เม็ดมะยม: Boninchi
เข็ม: Waeber HMS
กระจกแซฟไฟร์: Novocristal
กระบวนการโลหะ: Econorm
สาย: Multicuirs
กล่องบรรจุภัณฑ์: Olivier Berthon / SoixanteetOnze
โลจิสติกส์การผลิต: Ashley Moussier, Thibaut Joannard, David Gavotte, Jean-Luc Ruel, Caroline Ouvrard, Maryline Leveque and Emilie Burnier / MB&F
การตลาดและสื่อสาร: Charris Yadigaroglou, Vanessa André, Arnaud Légeret, Paul Gay and Talya Lakin / MB&F
ออกแบบกราฟิก: Sidonie Bays / MB&F
M.A.D.Gallery: Hervé Estienne and Margaux Dionisio Cera / MB&F
ฝ่ายขาย: Thibault Verdonckt, Virginie Marchon, Cédric Roussel, Jean-Marc Bories, Augustin Chivot and Mathis Brun / MB&F
เนื้อหา: Sophie Furley / Worldtempus
ภาพถ่ายผลิตภัณฑ์: Laurent-Xavier Moulin and Gustavo Kuri
ภาพยนตร์: Marc-André Deschoux / MAD LUX
ภาพถ่ายบุคคล: Régis Golay / Federal
เว็บไซต์: Stéphane Balet / Ideative
เกี่ยวกับ MB&F
ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2005 MB&F คือห้องปฏิบัติการเครื่องจักรกลบอกเวลาแนวคิดใหม่แห่งแรกของโลก ด้วยชุดกลไกที่น่าทึ่งเกือบ 20 ชุด ที่สร้างฐานอันมั่นคงให้กับเครื่องจักรกลบอกเวลาอันมีชื่อเสียง ทั้งในคอลเลกชัน Horological Machines (ออโรโลจิคัล แมชชีน) และ Legacy Machines (เลกาซี แมชชีน) โดย MB&F ยังคงดำเนินรอยตามวิสัยทัศน์ของ แม็กซิมิเลียน บูซเซอร์ (Maximilian Büsser) ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการด้านการสร้างสรรค์ในการสร้างศิลปะจลศาสตร์สามมิติที่แตกต่างจากการประดิษฐ์นาฬิกาแบบดั้งเดิม
หลัง 15 ปีของการบริหารงานให้กับเหล่าแบรนด์นาฬิกาอันทรงเกียรติ แม็กซิมิเลียน บูซเซอร์ ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการบริหาร ณ Harry Winston ในปี ค.ศ. 2005 เพื่อสร้างสรรค์แบรนด์ MB&F ที่ย่อมาจาก Maximilian Büsser & Friends โดย MB&F เป็นห้องปฏิบัติการเชิงศิลป์และวิศวกรรมจุลภาค ที่ทุ่มเทให้กับการออกแบบและประดิษฐ์รังสรรค์นาฬิกาตามแนวคิดสุดขั้ว ด้วยจำนวนการผลิตไม่มาก แต่เป็นการรวบรวมเหล่ายอดฝีมือและมืออาชีพด้านเครื่องบอกเวลาผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ ที่บูซเซอร์ทั้งให้ความเคารพและสนุกกับการทำงานร่วมกัน
ในปี ค.ศ. 2007 MB&F เปิดตัวนาฬิกา Horological Machine รุ่นแรกใน HM1 ภายใต้ประติมากรรมตัวเรือนสามมิติและเครื่องยนต์ (กลไก) ที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งได้มอบมาตรฐานให้กับเหล่านาฬิกาในตระกูล Horological Machine รุ่นถัดมา ที่นับเป็นแมชชีน (Machines) ทุกๆ เรือนซึ่งบอกเวลาได้ มิใช่เป็นเพียงในฐานะเครื่องบอกเวลาเท่านั้น โดย Horological Machine ได้ออกสำรวจมาแล้วทั้งในโลกอวกาศ HM2, HM3, HM6, ท้องฟ้า HM4, HM9, ท้องถนนHM5, HMX, HM8 และอาณาจักรของสัตว์ HM7, HM10
ในปี ค.ศ. 2011 MB&F เปิดตัวคอลเลกชัน Legacy Machine ภายใต้ตัวเรือนทรงกลมร่วมสมัย โดยผลงานเหล่านี้เป็นมากกว่าความคลาสสิกซึ่งรังสรรค์ขึ้นเพื่อสดุดีให้กับความเป็นเลิศของการประดิษฐ์นาฬิกาในศตวรรษที่ 19 โดยการตีความใหม่ให้กับความซับซ้อนจากเหล่านักประดิษฐ์นวัตกรรมเรือนเวลาผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตเพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัย เริ่มจากผลงาน LM1 และ LM2 จากนั้นจึงตามมาด้วย LM101 ที่นับเป็นเครื่องจักรบอกเวลาหรือแมชชีนของ MB&F รุ่นแรก ที่นำเสนอด้วยกลไกซึ่งพัฒนาขึ้นทั้งหมดภายในโรงงานของตนเอง (in-house) ก่อนจะขยายคอลเลกชันนี้ไปสู่ความสมบูรณ์แบบและซับซ้อนของทั้งผลงาน LM Perpetual, LM Split Escapement และ LM Thunderdome โดยในปี ค.ศ. 2019 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ กับการสร้างสรรค์ MB&F Machine รุ่นแรกที่อุทิศให้กับสุภาพสตรี นั่นคือ LM FlyingT และ MB&F ได้เฉลิมฉลอง 10 ปีของ Legacy Machine ในปี ค.ศ. 2021 ด้วย LMX ซึ่งโดยปกติแล้ว MB&F จะสลับระหว่างการเปิดตัว Horological Machine อันร่วมสมัยและแปลกแหวกแนวไปจากประเพณีดั้งเดิม กับผลงานของ Legacy Machine ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ โดยมี F ที่หมายถึงผองเพื่อน (Friends) และเป็นไปโดยธรรมชาติที่ MB&F ได้พัฒนาความร่วมมือขึ้นมากมายร่วมกับเหล่าศิลปิน ช่างนาฬิกา นักออกแบบ และผู้ผลิต ที่พวกเขาต่างยกย่อง
และด้วยความร่วมมือนี้เองที่ได้นำพามาซึ่งสองสาขาใหม่ นั่นคือศิลปะการแสดง (Performance Art) และความร่วมมือแห่งการสร้างสรรค์ (Co-creations) ขณะที่ชิ้นงานศิลปะการแสดงนั้นคือแมชชีนรุ่นต่างๆ ของ เอ็มบีแอนด์เอฟ ที่ได้นำมากลับมารังสรรค์ใหม่อีกครั้งโดยผู้เชี่ยวชาญและเปี่ยมด้วยพรสวรรค์จากนอกองค์กร กับความร่วมมือแห่งการสร้างสรรค์ต่างๆ ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพียงนาฬิกาข้อมือ แต่ยังรวมไปถึงประเภทอื่นๆ ของเครื่องยนต์จักรกลหรือแมชชีน ที่ผ่านการคิดค้นทางวิศวกรรมและรังสรรค์ขึ้นด้วยงานฝีมือโดยเหล่าผู้ผลิตนาฬิกาสวิสจากแนวคิดและงานออกแบบของ เอ็มบีแอนด์เอฟ และผลงานหลายๆ ชิ้นจากความร่วมมือแห่งการสร้างสรรค์เหล่านี้ อาทิ นาฬิกาคล็อกบอกเวลาที่สร้างสรรค์ขึ้นร่วมกับ L’Epée 1839 (เลเป 1839) เช่นเดียวกับความร่วมมืออื่นๆ กับ Reuge (รูช) และ Caran d’Ache (คารันดาช) ที่ได้สร้างสรรค์หลากหลายรูปแบบของศิลปะจักรกลไว้ด้วยกัน
และเพื่อมอบสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์จักรกลหรือแมชชีนเหล่านี้ทั้งหมด บูซเซอร์ได้มีแนวคิดของการจัดแสดง ผลงานเหล่านี้ไว้ภายในแกลลอรีศิลปะ ร่วมไปกับอีกหลากหลายรูปแบบของศิลปะจักรกลที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยศิลปินแขนงอื่นๆ ที่เป็นมากไปกว่าการจัดแสดงหน้าร้านเหมือนทั่วไป และนั่นได้นำมาสู่การสร้างสรรค์ของ MB&F M.A.D.Gallery (เอ็มบีแอนด์เอฟ แมดแกลลอรี) (M.A.D. หมายถึง Mechanical Art Devices) แห่งแรกขึ้นในเจนีวา ซึ่งต่อมายังได้เปิดตัวตามมาโดยเหล่าแมดแกลลอรีแห่งต่างๆ ทั้งในไทเป ดูไบ และฮ่องกง
มากไปกว่านั้น ยังมีรางวัลอันโดดเด่นอีกมากมายที่ย้ำเตือนถึงธรรมชาติแห่งนวัตกรรมการเดินทางสร้างสรรค์สำหรับ MB&F ซึ่งหากจะกล่าวถึงบางส่วนแล้ว มีไม่น้อยกว่า 9 รางวัลจากเวทีอันมีชื่อเสียงและทรงเกียรติสูงสุดของ Grand Prix d'Horlogerie de Genève (กรังด์ ปรีซ์ เดอ’ออร์โลเฌอรี เดอ เฌแนฟ) ซึ่งรวมไปถึงรางวัลสูงสุด อย่าง “Aiguille d’Or” (มือทองคำ) ที่มอบให้กับนาฬิกายอดเยี่ยมแห่งปี โดยในปี ค.ศ. 2022 LM Sequential EVO ได้รับรางวัลมือทองคำ (Aiguille d’Or) ขณะที่ M.A.D.1 RED (แมดวัน เรด) คว้ารางวัลประเภทชาเลนจ์ (‘Challenge’) มาได้สำเร็จ เช่นเดียวกับใน ค.ศ. 2021 ที่ MB&F ได้รับสองรางวัลอันทรงเกียรติ โดยรางวัลหนึ่งสำหรับผลงานรุ่น LMX ในฐานะนาฬิกาสลับซับซ้อนสำหรับสุภาพบุรุษยอดเยี่ยม (Best Men’s Complication) และอีกหนึ่งรางวัลจาก LM SE Eddy Jaquet ‘Around The World in Eighty Days’ ในประเภท ‘งานหัตถศิลป์’ (‘Artistic Crafts’) ขณะที่ในปี ค.ศ. 2019 จากรางวัลนาฬิกาสลับซับซ้อนสำหรับสุภาพสตรียอดเยี่ยม (Best Ladies Complication) ที่มอบให้กับ LM FlyingT และในปี ค.ศ. 2016 จาก LM Perpetual ที่ชนะรางวัลนาฬิกาปฏิทินยอดเยี่ยม (Best Calendar Watch) หรือเช่นในปี ค.ศ. 2012 ที่ Legacy Machine No.) ได้คว้ารางวัลทั้งในสาขารางวัลสาธารณชน (Public Prize) (ซึ่งโหวตโดยเหล่าคนรักเรือนเวลา) และรางวัลนาฬิกาสุภาพบุรุษยอดเยี่ยม (Best Men’s Watch Prize) (โหวตให้โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ) และในปี ค.ศ. 2010 MB&F ชนะรางวัลนาฬิกาคอนเซปต์และงานออกแบบยอดเยี่ยม (Best Concept and Design Watch) จากผลงานรุ่น HM4 Thunderbolt ส่วนในปี ค.ศ. 2015 MB&F ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมของ เรด ดอท (Red Dot: Best of the Best) ซึ่งนับเป็นรางวัลสูงสุดของการมอบรางวัลระดับสากล เรด ดอท อวอร์ดส (Red Dot Awards) จากผลงานรุ่น HM6 Space Pirate
25 พ.ย. 2567
23 พ.ย. 2567
26 พ.ย. 2567
26 พ.ย. 2567