Last updated: 28 พ.ย. 2567 | 222 จำนวนผู้เข้าชม |
เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี (2004-2024) Greubel Forsey ได้นำเสนอผลงาน Nano Foudroyante EWT เรือนเวลารุ่นที่ 10 จากคอลเล็กชั่น Fundamental Invention และด้วยระบบกลไกจัดการด้านพลังงานที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในระดับนาโนจูลทำให้ภาพรวมขององค์ประกอบลดลงทั้งขนาดและจำนวนชิ้นส่วน ผลลัพธ์ที่ได้คือนาฬิกาตัวเรือนขนาด 37.9 มิลลิเมตร ที่ผสานรวมกลไก Nano Foudroyante แบบ perpetual (เพอร์เพ็ทช่วล) ครั้งแรกของโลก เข้ากับกลไกฟลายอิ้งทูร์บิญอง (flying tourbillon) ชุดแรกของ Greubel Forsey และระบบฟลายแบ็คแบบไขลาน โดยนำเสนอผ่านตัวเรือนที่ผลิตจากทองคำขาวและแทนทาลัม ซึ่งมีการผลิตจำกัดเพียง 11 เรือนเท่านั้น
สืบทอดมรดกแห่งนวัตกรรม
เรือนเวลารุ่นแรกจากคอลเล็กชั่น Fundamental Invention ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดย Robert Greubel และ Stephen Forsey และเปิดตัวในปี 2004 แสดงถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ต่อการวิจัยและการสร้างสิ่งประดิษฐ์ นับเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วที่ความมุ่งเน้นนี้ คือ หัวใจสำคัญของเรือนเวลาจาก Fundamental Invention รวมถึงนาฬิกาทุกเรือนของ Greubel Forsey และในปัจจุบัน การทำงานด้านวิจัยของ Greubel Forsey ได้กลายเป็นรากฐานที่มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งหวังที่จะทบทวนแนวทางการสร้างนาฬิกาใหม่ๆ โดยความพยายามนี้แสดงให้เห็นถึงการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญ ซึ่งเทียบได้กับการเปลี่ยนผ่านจากนาฬิกาตั้งโต๊ะมาเป็นนาฬิกาข้อมือ ในอดีตนั้นเครื่องบอกเวลาเป็นสิ่งที่มีขนาดใหญ่ และจำเป็นจำต้องจัดตั้งอยู่บนพื้นที่สาธารณะ แต่เมื่อเวลาผ่านมา เรือนเวลาเหล่านี้กลายเป็นอุปกรณ์พกพา (นาฬิกาตั้งโต๊ะ นาฬิกาเดินเรือแบบโครโนมิเตอร์) จากนั้นก็เป็นนาฬิกาพกที่สามารถนำไปไหนมาไหนได้ และในที่สุดก็สามารถสวมใส่ได้บนข้อมือ ในตอนนั้น การวิวัฒนาการเดินทางมาถึงจุดสูงสุดด้วยนาโนเมคานิกส์ (nanomechanics) การปฏิวัติที่ Greubel Forsey เป็นผู้บุกเบิก และวันนี้ Greubel Forsey ได้เปิดตัว Nano Foudroyante เรือนเวลารุ่นที่ 10 จากคอลเล็กชั่น Fundamental Invention โดยถือเป็นการปฏิวัติวงการเทคโนโลยีครั้งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่เฉพาะสำหรับ Greubel Forsey เท่านั้น แต่ยังรวมถึงในโลกแห่งการผลิตนาฬิกาจักรกลอีกด้วย
Nanomechanics : ขอบเขตใหม่แห่งการพัฒนา
Nanomechanics คืออะไร?
Nanomechanics เป็นขอบเขตที่อยู่เหนือการย่อขนาดส่วนประกอบให้เล็กลงจนอยู่ในระดับนาโนเมตริก เมื่อพูดถึง Nanomechanics เรากำลังพูดถึงการควบคุมพลังงานในระดับนาโนจูลที่เกิดขึ้นในกลไกแบบจักรกล การปฏิวัติระบบจัดการพลังงานจะช่วยลดการใช้พลังงานและจำนวนส่วนประกอบในกลไกได้อย่างมาก
กลไกที่ปฏิวัติวงการ
เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของกลไกที่มีขนาดระดับนาโน Greubel Forsey ได้คิดค้นกลไกวินาทีแบบ Foudroyante ขึ้นมาใหม่ เข็มนาฬิกาจะหมุนครบหนึ่งรอบต่อวินาทีโดยแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามความถี่ในการทำงานของกลไก ในกลไกแบบ Nano Foudroyante นี้ ความถี่ 3 เฮิร์ตซ์ในแต่ละครั้งที่จักรกรอกสร้างขึ้นมาจะทำให้เกิด 2 จังหวะขึ้นมา ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะได้ความถี่ 6 ครั้งต่อวินาที และทำให้การเดินของเข็มวินาทีในแต่ละครั้งจะถูกแบ่งออกเป็น 6 ส่วนที่แตกต่างกัน ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วการทำงานลักษณะนี้จะใช้พลังงานอย่างมาก อย่างไรก็ตาม Greubel Forsey ได้คิดออกแบบและก่อสร้างกลไกนี้ใหม่หมด พร้อมกับจัดการพลังงานในระดับนาโนจูล เมื่อเปรียบเทียบกับกลไก Foudroyante แบบดั้งเดิมที่ใช้พลังงาน 30μJ (ไมโครจูล) ต่อการเคลื่อนที่ 1 ครั้งแล้ว กลไก Nano Foudroyante จะทำงานด้วยพลังงานเพียง 16nJ (นาโนจูล) ต่อการเคลื่อนที่ 1 ครั้ง ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 1,800 เท่า ดังนั้น ปริมาตรของกลไกจึงลดลง 90% อย่างไรก็ตาม ความสนใจในการพัฒนาไม่ได้อยู่การวัดระดับการเคลื่อนที่ของเข็มวินาทีเท่านั้น แต่แต่ยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นแนวคิดในการผลิตนาฬิกาแบบใหม่อย่างที่ไม่มาก่อน นั่นคือเหตุผลที่ Greubel Forsey เลือก Nano Foudroyante ให้เป็นนาฬิกาแสดงเวลาแบบเพอร์เพ็ทช่วล หรือแบบถาวร
ในกลไกนี้มีการตัดชุดเฟืองทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับกลไกวินาที Foudroyante แบบดั้งเดิมเพื่อแบ่งเวลาเป็นวินาที ข้อมูลทั้งหมดจึงถูกส่งตรงมายังชุดทำงานก่อนที่จะกระจายและจัดการพลังงานที่เกิดขึ้นในกลไกผ่านทางจักรที่มีแรงเฉื่อยต่ำจำนวนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ดังนั้น ชิ้นส่วนทำงานน้อยก็หมายถึงการใช้พื้นที่ใช้งานน้อยด้วยเช่นกัน Nano Foudroyante EWT นี้มีขนาดกะทัดรัดมาก มีชิ้นส่วนกลไกเพียง 428 ชิ้น และกลไกมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 31 มิลลิเมตร ถูกวางอยู่ภายในตัวเรือนขนาด 37.9 มิลลิเมตร (ซึ่งเป็นขนาดเล็กที่สุดที่ Greubel Forsey เคยสร้างสรรค์ขึ้นมา)
จุดสูงสุดของโลกแห่งเรือนเวลา
ไม่ได้มีเพียงแค่นี้ เพราะยังสืบสานความหลงใหลของ Greubel Forsey ที่มีต่อกลไกทูร์บิญอง ดังนั้นนาฬิกา Nano Foudroyante จึงถูกผสานเข้ากับกลไกฟลายอิ้งทูร์บิญอง หรือทูร์บิญองไร้แกน (Flying Tourbillon) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Greubel Forsey สร้างขึ้น และท้ายที่สุดกับอีกหนึ่งนวัตกรรมเพิ่มเติมของรูปแบบบนหน้าปัด เพราะแม้ว่ากลไก Flying Tourbillon จะหมุนตลอดเวลา แต่หน้าปัดของ Nano Foudroyante ยังคงจัดวางในรูปแบบของ 12 นาฬิกา เพื่อให้อ่านเวลาได้อย่างเหมาะสม
เมื่อรวมกับระบบจับเวลาแบบ Flyback แล้ว คุณสมบัติทั้ง 3 ประการนี้ทำให้ Fundamental Invention รุ่นที่ 10 ของ Greubel Forsey มีความสมบูรณ์แบบขึ้น นั่นคือ Nano Foudroyante ที่มาพร้อมกับกลไกฟลายอิ้งทูร์บิญอง และแกนอ่านแบบกำหนดทิศทาง
นี่เป็นเพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น ยังไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้าย Fundamental Invention รุ่นที่ 10 ติดตั้งกลไกจับเวลาฟลายแบ็คแบบไขลาน ความซับซ้อนที่นำเสนอโดย Greubel Forsey นี้รวมถึงการควบคุมคอลัมน์วีลภายในซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการออกแบบซึ่งมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งและการขัดแต่งที่เหนือชั้น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Greubel Forsey
ผลงานชิ้นเอกที่มีการผลิตแบบจำกัดจำนวน
นาฬิการุ่นนี้ถูกผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 11 เรือน โดยเน้นย้ำถึงลักษณะทางเทคนิคที่แปลกใหม่ และบุคลิกของนาฬิกาที่ได้รับการออกแบบอย่างชาญฉลาดในห้องทดลอง EWT (Experimental Watch Technology)
ตัวเรือนไวท์โกลด์สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจด้วยชิ้นส่วนของขอบและฝาหลังที่ผลิตจากแทนทาลัม ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของ Greubel Forsey เพราะแบรนด์ไม่เคยใช้วัสดุนี้มาก่อน แทนทาลัมเป็นวัสดุที่ขึ้นชื่อในเรื่องความแวววาว ให้โทนสีเทาอมฟ้าและความซับซ้อนในการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (โดยมีจุดหลอมเหลวสูงกว่า 3,000°C) ต้องใช้ความชำนาญพิเศษที่หายาก และทางแบรนด์ยังคงรักษาเอกลักษณ์ด้านสุนทรียศาสตร์ที่สำคัญเอาไว้ รวมทั้งการแกะสลักนูนตัวอักษร “Nano Foudroyante” และ “Greubel Forsey” พร้อมการขัดเงาโดยอยู่บนหน้าปัดที่ผลิตจากไวท์โกลด์ผ่านการใช้สลักด้วยมือและขัดด้วยลายซาติน สถาปัตยกรรมของกลไกมีความยอดเยี่ยม โดยผลงานชิ้นเอกนี้แสดงให้เห็นถึงชิ้นส่วนกลไกที่อยู่รอบชุดเฟืองคอลัมน์วีล ซึ่งมากับรูปทรงเรขาคณิตแบบโมโนบล็อก 3 มิติที่หายาก และสามารถมองเห็นได้ผ่านทางฝาหลังนาฬิกา
นาฬิกาเรือนนี้สลักข้อความ “2004 – 2024” และ “ครบรอบ 20 ปี” เพื่อแสดงถึงเหตุการณ์สำคัญในครั้งนี้
26 พ.ย. 2567
26 พ.ย. 2567
29 พ.ย. 2567
29 พ.ย. 2567