AUDEMARS PIGUET Reveals Four New References

Last updated: 25 ส.ค. 2566  |  551 จำนวนผู้เข้าชม  | 

AUDEMARS PIGUET Reveals Four New References

Audemars Piguet แบรนด์เครื่องบอกเวลาชั้นสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่กับดีไซเนอร์ชาวอเมริกัน Matthew Williams (แมทธิว วิลเลียมส์) ผู้ก่อตั้งแบรนด์แฟชั่นแถวหน้า 1017 ALYX 9SM และในโอกาสนี้ Audemars Piguet ยังได้เปิดตัวนาฬิกา 4 รุ่นใหม่ที่มีทั้งคอลเลกชัน Royal Oak, Royal Oak Offshore และ Royal Oak รุ่นเอกลักษณ์สุดพิเศษ ผสมผสานเอกลักษณ์ทางสุนทรียะที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำของ Audemars Piguet เข้ากับความประณีตละเอียดลอ่อนแบบของ Matthew Williams โดยทั้งสองแบรนด์ร่วมกันออกแบบคอลเลกชันนาฬิกาที่ทั้งน่าจับตาและดึงดูดใจเหล่าคนรักแฟชั่นให้พวกเขาได้แสดงตัวตนสุดยูนีคของแต่ละคนได้อย่างเต็มที่

นาฬิกาทั้ง 5 เรือนมาในตัวเรือนหลากหลายวัสดุทั้ง เยลโลว์โกลด์ 18 กะรัต, ไวท์โกลด์ 18 กะรัต และเวอร์ชันทูโทน โดดเด่นด้วยดีไซน์หน้าปัดสุดพิถีพิถัน ทุกเรือนสลักซิกเนเจอร์แบรนด์ “Audemars Piguet”ควบคู่กับ “1017 ALYX 9SM” แบรนด์แฟชั่นของ Matthew Williams 

ผลงานร่วมเพื่อบรรจบสองโลกเข้าด้วยกัน
ความร่วมมือที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนระหว่าง Audemars Piguet และแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ 1017 ALYX 9SM ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2015 คือตัวอย่างล่าสุดที่เฉลิมฉลองความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งที่Audemars Piguet มีกับผู้คนในหลากหลายวงการที่ทำงานสร้างสรรค์ รวมทั้งวงการแฟชั่น

Matthew Williams (แมทธิว วิลเลียมส์) แฟชั่นดีไซเนอร์ชาวชิคาโก มักจะชอบทำงานโดยเลือกใช้แมททีเรียลคุณภาพสูง สร้างสรรค์ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ และใช้เทคนิคชั้นสูงเพื่อพัฒนาผลงานสร้างสรรค์ที่ทั้งแปลกใหม่และฉีกกฎเกณฑ์ ทั้งสองแบรนด์นับว่าแชร์จิตวิญญาณแบบอวองการ์ด (avant-garde) นี้ร่วมกัน อีกทั้งมีความหลงใหลในรายละเอียดและความชำนาญในการสร้างสรรค์งานฝีมือได้ไม่แพ้กัน นอกจากนี้ ทั้งสองแบรนด์ยังยึดมั่นในแนวทางการทำงานด้วยความยั่งยืนแบบองค์รวมเหมือนกันอีกด้วย

“การทำงานร่วมกันครั้งนื้ทำให้ผมได้สำรวจและขยายขอบเขตของความรู้ที่ผมมี ออกสู่พื้นที่แห่งความเป็นเลิศใหม่ที่กว้างไกลยิ่งขึ้น” Matthew Williams / ดีไซเนอร์และผู้ก่อตั้งแบรนด์ 1017 ALYX 9SM กล่าว

สุนทรียะอันทันสมัยและพิถีพิถัน
Matthew Williams มองว่านาฬิกาเป็นการแสดงออกถึงตัวตนในแบบของคุณ ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ทั้ง Audemars Piguet และ Matthew Williams จึงได้พัฒนาคอลเลกชันนาฬิกาที่มอบความสวยงามในสไตล์มินิมอลโดยมาพร้อมขนาดหน้าปัดตั้งแต่ 37 ถึง 42 มิลลิเมตร เพื่อให้เหมาะกับทุกขนาดข้อมือ โดยนาฬิกาที่มาพร้อมเอกลักษณ์ความสุขุมคอลเลกชันนี้ พร้อมเปิดโอกาสให้ตัวตนของผู้สวมใส่ได้เปล่งประกายออกมา พร้อมทั้งเป็นสะพานให้โลกแฟชั่นอันทันสมัยและโลกของเครื่องบอกเวลาชั้นสูงได้เชื่อมโยงถึงกัน

นาฬิกาทั้ง 4 เรือนมีให้เลือกทั้งวัสดุเยลโลว์โกลด์ (yellow gold) และไวท์โกลด์ 18 กะรัต โดยนำเสนอออกมาในรุ่น Royal Oak สองเรือน และรุ่น Royal Oak Offshore อีกสองเรือนบนขนาดหน้าปัดที่แตกต่างกัน นับเป็นครั้งแรกที่มีการนำเสนอดีไซน์เดียวกันออกมาพร้อมกันในทั้งสองคอลเลกชันนี้ และด้วยความตั้งใจที่จะออกแบบให้นาฬิกาในคอลเลกชันนี้ดูสะอาดและบริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

Matthew Williams และ Audemars Piguet ได้ลดทอดรายละเอียดของหน้าปัดให้คงเหลือเพียงรูปแบบที่เรียบง่ายที่สุด โดยยกเอาเครื่องหมายบอกหลักชั่วโมงและช่องบอกวันที่ในรุ่น Royal Oak ออก เพื่อไฮไลต์การเก็บรายละเอียดสุดท้ายด้วยวิธีการขัดแบบซาตินในแนวตั้งบนหน้าปัดทอง ผลลัพธ์ที่ได้คือนาฬิกาสไตล์โมโนโทนอันร่วมสมัยในทุกยุค ผสานสุนทรียภาพสุดประณีตเข้ากับเทคนิคการสร้างสรรค์เรือนเวลาชั้นสูงได้อย่างลงตัว

นาฬิกา Royal Oak ทั้งสองเรือนรังสรรค์ขึ้นด้วยเยลโลว์โกลด์ 18 กะรัตทั้งเรือน เรือนแรกเป็นนาฬิกาอัตโนมัติขนาดหน้าปัด 37 มิลลิเมตรที่มีกลไกบอกเวลาชั่วโมง นาที และวินาที นาฬิกาเรือนนี้นับว่าเหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อมือขนาดเล็ก หน้าปัดสไตล์มินิมอลมาพร้อมกับเข็มนาฬิกาเยลโลว์โกลด์เคลือบสารเรืองแสง รวมถึงสัญลักษณ์ “Audemars Piguet” และสัญลักษณ์ “1017 ALYX 9SM” เรือนที่สองคือรุ่น Selfwinding Chronograph ขนาดหน้าปัด 41 มิลลิเมตร ซึ่งผลักดันความเรียบง่ายของหน้าปัดให้เหนือขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการขจัดหน้าปัดโครโนกราฟขนาดเล็กออกไป เหลือไว้เพียงเข็มบอกเวลาที่จะหมุนอยู่ที่ตำแหน่ง 3, 6 และ 9 นาฬิกา โดยนาฬิการุ่น Royal Oak ทั้งสองเรือนนี้ยังได้รับการผลิตออกมาในจำนวนจำกัดด้วย

สำหรับรุ่น Royal Oak Offshore อีกสองเรือนก็มาในธีมเดียวกัน โดยยังคงบอกข้อมูลบนหน้าปัดตามสมควรทว่ารักษารายละเอียดที่ควรมีบนหน้าปัดนาฬิกาไว้ให้น้อยที่สุด มีเพียงช่องแสดงวันที่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคอลเลกชัน Royal Oak Offshore ที่ยังคงถูกรักษาไว้ให้คงอยู่ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา ถัดจากโลโก้ AP ส่วนสัญลักษณ์ 1017 ALYX 9SM จะอยู่ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา สำหรับหน้าปัดเล็กสำหรับการจับเวลาโครโนกราฟที่ตำแหน่ง 6, 9 และ 12 นาฬิกาถูกตัดออกไป เหลือไว้เพียงเข็มนาฬิกา ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของการสร้างสรรค์นาฬิกาโครโนกราฟในลักษณะนี้ นาฬิการุ่นลิมิเต็ดขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรทั้ง 2 เรือนนี้มีให้เลือกทั้งแบบไวท์โกลด์หรือเยลโลว์โกลด์ 18 กะรัต มอบสไตล์ที่ทั้งสุขุมทว่ามีความแพรวพราวในเวลาเดียวกัน โดยยังมาพร้อมกับระบบสายนาฬิกาแบบถอดเปลี่ยนได้เองของ Audemars Piguet และสายนาฬิกายางสำรองสีดำเพื่อเติมรายละเอียดแบบคอนทราสต์ที่โดดเด่นยิ่งขึ้น

นาฬิกาทั้ง 4 เรือนนี้ยังมาพร้อมเอกลักษณ์ของการเก็บรายละเอียดสุดท้ายด้วยมืออันประณีตของ Audemars Piguet สลับกันระหว่างการขัดเงาและเทคนิคการขัดแบบซาตินเพื่อมอบรายละเอียดของการเล่นกับแสงได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้ ที่ฝาหลังยังมีการสลักคำว่า “Limited Edition” เอาไว้ด้วย

3 กลไกเจเนอเรชันล่าสุดและ oscillating weight ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ
นาฬิการุ่น Royal Oak Selfwinding, Selfwinding Chronograph และ Royal Oak Offshore Selfwinding Chronograph ทั้ง 4 เรือนนี้ยังมาพร้อมกลไกเจเนอเรชันล่าสุดที่แตกต่างกันด้วย

สำหรับรุ่น Royal Oak Selfwinding ขนาดหน้าปัด 37 มิลลิเมตรมาพร้อมคาลิเบอร์ 5909 ซึ่งเปิดตัวออกมาในปี 2022 กลไกนี้มีความหนาเพียง 4 มิลลิเมตร มีความถี่ของ balance wheel ที่ 4 Hz และสามารถสำรองพลังงานได้นาน 60 ชั่วโมง

ส่วนรุ่น Royal Oak Selfwinding Chronograph ขนาดหน้าปัด 41 มิลลิเมตร มาพร้อมกลไกโครโนกราฟอัตโนมัติรุ่นล่าสุดของคาลิเบอร์ 4409 ที่ออกแบบมาโดยไม่มีการระบุวันที่ กลไกอัตโนมัตินี้มาพร้อมกับ column wheel และฟังก์ชันฟลายแบ็ก ที่สามารถเริ่มจับเวลาใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดหรือ รีเซ็ตก่อน โดย column wheel จะทำงานร่วมกับระบบคลัตช์แนวตั้ง เมื่อเริ่มหรือหยุดการจับเวลา เข็มนาฬิกาจะตอบสนองตามนั้นโดยไม่มีการกระโดด นอกจากนี้ กลไกการรีเซ็ตเป็นศูนย์ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรยังช่วยให้มั่นใจได้ว่า เข็มจับเวลาบนหน้าปัดเล็กแต่ละเข็มจะกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมทันที นาฬิกาเรือนนี้ยังมาพร้อมความถี่ของ balance wheel ที่ 4 Hz (28,800 ครั้ง/ชั่วโมง) ที่ช่วยให้สามารถสำรองพลังงานได้นาน 70 ชั่วโมง

สุดท้าย นาฬิการุ่น Royal Oak Offshore อีก 2 เรือนใช้คาลิเบอร์ 4404 ซึ่งมาพร้อมกับกลไกโครโนกราฟในตัวและฟังก์ชันฟลายแบ็ค กลไกนี้มีคุณสมบัติเหมือนกับคาลิเบอร์ 4409 ทว่าหนากว่าเล็กน้อย และสามารถทำงานบนตัวเรือนขนาดใหญ่ของรุ่น Royal Oak Offshore ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่ละรุ่นในคอลเลกชันนี้ยังมาพร้อมฝาหลังคริสตัลแซฟไฟร์ที่เผยให้เห็น oscillating weight ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับนาฬิการุ่นลิมิเต็ดเอดิชันเหล่านี้ และได้รับการรังสรรค์ขึ้นจากเยลโลว์โกลด์หรือไวท์โกลด์ 22 กะรัต โดยมีการสลักสัญลักษณ์ “1017 ALYX 9SM” เอาไว้ รวมถึงมีการระบุมิลลิเมตรและน้ำหนักโรเตอร์ของนิวตัน เพื่อแสดงความเคารพต่องานด้านเทคนิคในแบบฉบับของ Matthew M. Williams ผู้สวมใส่ยังสามารถชื่นชมรายละเอียดการตกแต่งสุดประณีต ไม่ว่าจะเป็นลายวงกลมวน Côtes de Genève เทคนิค Circular Graining (เซอร์คิวลาร์ เกรนิง) การขัดแบบซาตินเป็นวงกลม เทคนิคการขัดลาย sunray finishing เทคนิคการขัดแบบซาติน รวมถึงการขัดเงาส่วนมุม ซึ่งทั้งหมดสามารถมองเห็นได้ผ่านฝาหลังประดับแซฟไฟร์

“นับเป็นครั้งแรกที่เรารังสรรค์หน้าปัดใหม่ในดีไซน์เดียวกันให้กับรุ่น Royal Oak และ Royal Oak Offshore พร้อม ๆ กัน และทำได้อย่างลงตัว ซึ่งต้องขอบคุณดีไซน์ที่ทั้งร่วมสมัยและบริสุทธิ์สะอาดตาในแบบของแมทธิว ถือเป็นความงดงามของการทำงานร่วมกันที่สอดประสานเข้ากันได้อย่างกลมกลืน ช่วยยกระดับทั้งสองแบรนด์ให้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น” François-Henry Bennahmias (ฟรองซัว-อองรี เบนนาห์เมียส) / ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Audemars Piguet กล่าว

นาฬิกาเรือนพิเศษเพื่อการช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ยังขาดโอกาส
นอกจากนาฬิกาทั้ง 4 เรือนนี้ที่จะมีวางจำหน่ายในบูติกของAudemars Piguet แล้ว Matthew Williams และ Audemars Piguet ยังได้ร่วมกันสร้างสรรค์นาฬิการุ่น Royal Oak Selfwinding Chronograph เรือนพิเศษบนขนาดหน้าปัด 41 มิลลิเมตรอีกหนึ่งเรือนด้วย โดยนาฬิกาเรือนนี้มาพร้อมตัวเรือนและสายนาฬิกาสีทูโทน ผสมผสานการเลือกใช้วัสดุเยลโลว์โกลด์ 18 กะรัตเข้ากับสแตนเลส สตีล คอนทราสต์กับหน้าปัดสีทองเคลือบพีวีดีสีดำ ตกแต่งด้วยรายละเอียดของการขัดแบบซาตินในแนวตั้ง บนหน้าปัดมีซิกเนเจอร์ของทั้งสองแบรนด์รวมถึงเข็มโครโนกราฟเยลโลว์โกลด์ เข็มนาฬิกาเยลโลว์โกลด์ตรงกลางทั้ง 3 เข็มโดดเด่นด้วยการเคลือบสารเรืองแสงเพื่อให้สามารถอ่านเวลาได้อย่างดีที่สุดแม้ในที่มืด นาฬิกาเรือนนี้ใช้คาลิเบอร์ 4409 ผสมผสานเทคโนโลยีสุดล้ำยุคเข้ากับความสวยงามแบบร่วมสมัยได้อย่างเหมาะเจาะ

การประมูลนาฬิกาที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครเรือนนี้ จะเกิดขึ้นในปาร์ตี้เปิดตัวความร่วมมือระหว่าง Audemars Piguet และแบรนด์ 1017 ALYX 9SM ในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ ที่เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

เงินทุนที่ได้จากการประมูลจะนำไปบริจาคให้กับโครงการต่าง ๆ ที่มุ่งสนับสนุนการเรียนเชิงเล่นของเด็กด้อยโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการดำเนินการขององค์กรพัฒนาเอกชนอย่าง Kids in Motion และ Right to Play โดย Kids in Motion นั้นให้การสนับสนุนโครงการพิเศษในเมืองลามู ประเทศเคนยา เพื่อช่วยให้ประชากรในท้องถิ่นสามารถเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนภายในโรงเรียนได้ ส่วน Right to Play เป็นองค์กรที่ทำงานโดยใช้เกมเพื่อดึงเอาศักยภาพของเด็กแต่ละคนออกมา การเลือกสนับสนุนโครงการเหล่านี้เป็นข้อเสนอแนะของมูลนิธิ Audemars Piguet และ Matthew Williams ซึ่งให้การสนับสนุนการทำงานเพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา

เกี่ยวกับ Audemars Piguet
Audemars Piguet แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องบอกเวลาชั้นสูงที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งยังคงดำเนินธุรกิจสืบทอดกันในครอบครัวผู้ก่อตั้งมาจวบจนปัจจุบัน (ตระกูลโอเดอมาร์และตระกูลปิเกต์) นับตั้งแต่ปี 1875 Audemars Piguet ยังคงผลิตเครื่องบอกเวลาที่เมืองเลอ บราซูส์ (Le Brassus) โดยสืบสานฝีมือการทำงานของช่างผู้เชี่ยวชาญจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมทั้งพัฒนาทักษะและเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อขยายขอบเขตความชำนาญที่มีอยู่เดิม พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถอันนำไปสู่การก้าวข้ามขีดจำกัดที่เคยมีอย่างต่อเนื่อง Audemars Piguet ได้สร้างสรรค์เรือนเวลาหรูหราแห่งประวัติศาสตร์มากมาย ณ วัลเลย์ เดอ ฌูซ์ (Vallée de Joux) หนึ่งในต้นกำเนิดของศาสตร์การผลิตนาฬิกาข้อมือชั้นนำใจกลางสวิตเซอร์แลนด์ และสถานที่ซึ่งเผยให้เห็นเอกลักษณ์ความเชี่ยวชาญของคนรุ่นก่อนซึ่งสะท้อนจิตวิญญาณอันก้าวหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง Audemars Piguet พร้อมแบ่งปันความหลงใหลและความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์ผลงานให้กับผู้ที่รักเครื่องบอกเวลาทั่วโลกภายใต้ภาษาแห่งอารมณ์ ผ่านการแลกเปลี่ยนคุณค่าที่หลากหลายในสายงานสร้างสรรค์ที่มีความแตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจออกไปยังผู้คนทั่วทุกมุมโลก Seek Beyond — www.audemarspiguet.com

เกี่ยวกับ 1017 ALYX 9SM
1017 ALYX 9SM เป็นแบรนด์ที่ประกอบสร้างขึ้นจากพลังที่ซ่อนอยู่ โดยมีMatthew Williams เป็นผู้สร้างสรรค์งานออกแบบด้วยแนวคิดของการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง ผสมผสานกับวัฒนธรรมฉีกแนวและงานฝีมือสมัยใหม่ แมทธิวก่อตั้งแบรนด์นี้ขึ้นในกรุงนิวยอร์กก่อนจะย้ายไปอิตาลี โดยผสมผสานอิทธิพลจากการเติบโตในแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์กเข้ากับความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์รายละเอียด ผลงานที่เป็นนวัตกรรม และความปรารถนาที่จะผลักดันแนวคิดใหม่ ๆ ให้ไปข้างหน้า โดยเน้นที่งานฝีมือ เทคนิค และการทำงานที่มีความยั่งยืน นำไปสู่การนำเสนอคอลเลกชันสำหรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีเต็มรูปแบบที่มุ่งมั่นหลอมรวมนวัตกรรมทางเทคนิคเข้ากับอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ — www.alyxstudio.com

เกี่ยวกับ Matthew M. Williams
Matthew M. Williams (แมทธิว เอ็ม วิลเลียมส์) ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของแบรนด์ “1017 ALYX 9SM” เกิดที่ชิคาโก เติบโตที่แคลิฟอร์เนีย เขาได้ทำงานร่วมกับนักสร้างสรรค์มีฝีมือมากมายทั้งในแวดวงศิลปะ ดนตรี การถ่ายภาพ และแฟชั่นตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษในเส้นทางอาชีพของเขา ทำให้โลกของการสร้างสรรค์ผลงานเชิงสุนทรียะของเขานั้นเต็มเปี่ยมด้วยความประณีตและโดดเด่น ทั้งในเรื่องของการหยิบหลายสิ่งหลายอย่างมาปรับเปลี่ยนด้วยความคิดสร้างสรรค์ การรังสรรค์สิ่งใหม่ และการทำงานอย่างพิถีพิถัน

ความสนใจในขั้นตอนการทำงานสร้างสรรค์ผลงานแฟชั่นพาให้แมทธิวมีความมุ่งมั่นที่จะทำการศึกษาและพัฒนาโครงสร้างเสื้อผ้าและปรัชญาด้านแฟชั่นที่ยิ่งใหญ่ โดยเขาได้เริ่มต้นทำงานด้านแฟชั่นด้วยคอลเลกชันเสื้อผ้าสุภาพสตรีแรกของแบรนด์ ALYX ในฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว 2015 นำเสนอคอลเลกชันแฟชั่นที่ครบครันทั้งเสื้อผ้า แอคเซสซอรี่ และรองเท้า ก่อนจะขยายมาสู่การทำคอลเลกชันทั้งสำหรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี รวมไปถึงการได้ทำงานร่วมกับ แบรนด์ชั้นนำอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Nike, Dior, Moncler และ Mackintosh อิทธิพลของสไตล์ utilitarian การได้ทำงานในแวดวงบันเทิง ตลอดจนความรู้อย่างลึกซึ้งทั้งในเรื่องเทคโนโลยี งานช่าง และการทำงานสร้างสรรค์ ทำให้แมทธิวมีมุมมองเกี่ยวกับแฟชั่นยุคใหม่ที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ ปัจจุบันแมทธิว วิลเลียมส์ทำงานและอาศัยอยู่ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้