Ricardo Guadalupe – CEO of Hublot

           ผมเลือกใช้ห้องประชุมบนชั้น 19 ของ เกษร เออร์เบิร์น รีสอร์ท ในการสัมภาษณ์ด้วยอุปกรณ์ที่พร้อมและความเงียบที่เหมาะกับการพูดคุยโดยเฉพาะการคุยผ่านระบบออนไลน์ที่สัญญาณอินเตอร์เน็ตต้องเสถียร แต่ความจริงผมชอบการพูดคุยซึ่งหน้ามากกว่า ผมมีโอกาสได้เจอ Mr.Guadalupe หลายครั้งทั้งที่สวิสและตอนที่เขามาเมืองไทย ครั้งนี้อาจจะต่างออกไป ซึ่งเขาก็เปิดใจถึงสถานการณ์ตอนนี้ว่า“ผมบอกได้เลยว่าเรายังคงเป็นไปได้ด้วยดีผมว่าดีกว่าเดือนมีนาคมเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นมันเหมือนหายนะเพราะวิกฤติการระบาดเพิ่งเริ่มต้นขึ้นและเราก็ไม่ได้เตรียมตัว เราต้องปิดโรงงานกลางเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาด แม้จะช็อกกับสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับคนทั้งโลก ปีนี้เราทำได้ดีขึ้นมา ผลลัพธ์ด้านการขายและธุรกิจก็เป็นไปได้ดีขึ้นเช่นกัน”

            ความน่าสนใจอยู่ที่แนวทางการฝ่าวิกฤต “เป็นเวลาหนึ่งปีที่เราเผชิญกับวิกฤติการระบาดครั้งนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างทั้งอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจต่างได้รับความเสียหายอย่างหนัก บางอุตสาหกรรมหนักกว่านาฬิกา ปีที่แล้วเราปิดโรงงานนาน 6 สัปดาห์ ปิดแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีการทำงาน หลังจากนั้นเราก็เปิดทีละขั้นจาก 20% ขึ้นมาเป็น 30% 40% และเราก็เปิดได้ 100% ตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา ในขณะที่เครือข่ายตัวแทนจำหน่ายของเราก็ปิดเกือบ 80% ซึ่งเป็นปีที่ลำบากสำหรับทุกคน แต่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเราคือการปกป้องคนของเรา และคุ้มครองลูกค้าของเราให้ปลอดภัย เราก็เลยมาพยายามคิดว่าจะทำอย่างไรได้บ้างเมื่อร้านค้ายังต้องปิดอยู่ในเวลานั้น และแน่นอนระบบดิจิทัลคือกุญแจสำคัญ ที่จริงก่อนวิกฤติจะเกิดขึ้นเราก็วางแผนในการใช้ระบบดิจิทัลอยู่แล้ว เพียงแต่การเกิดสถานการณ์ระบาดของไวรัสเป็นการเร่งกระบวนการให้เร็วขึ้น เราใช้เวลาในการพัฒนาและเปิดเว็บไซต์รองรับอีคอมเมิร์ซตั้งแต่เดือนมิถุนายน และเมื่อลูกค้ายังไม่มั่นใจที่ไปที่ร้านเราก็สร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าติดต่อกับร้านค้าได้โดยตรงผ่านระบบออนไลน์และร้านค้าเสมือนจริง ซึ่งเราก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ที่ฉลองครบรอบ 40 ปีของ Hublot เมื่อปีที่แล้ว ปีนี้เราปิดตัว BIG BANG Tourbillon Automatic Orange Sapphire ในงาน LVMH Watch Week จากนั้นเราก็จัดกิจกรรมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เปิดตัวผลงานที่เราร่วมมือกับ Takashi Murakami กับนาฬิกาที่น่าทึ่งซึ่งกลายเป็นงานศิลปะอย่างแท้จริง”

            พูดถึงผลงานใหม่ที่เปิดตัว Watches & Wonders Geneva 2021 ที่ผมได้ชมพรีเซนเตชั่นก่อนการสัมภาษณ์ มีผลงานที่น่าตื่นเต้นหลายรุ่น โดยเฉพาะเซรามิกสีเหลืองสดของ BIG BANG Unico Yellow Magic และเรือนโปร่งใสมองทะลุได้ทั้งเรือนของ BIG BANG Integral Tourbillon Full Sapphire “ผมจะบอกว่าในระหว่างที่เกิดการระบาดของไวรัส เรามองเห็นว่านวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่ผ่านมา ดังนั้นเราจึงลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาวัสดุใหม่ ทั้งเซรามิกและแซฟไฟร์ สำหรับเซรามิก ความพิเศษคือการสร้างสีที่สดใสซึ่งยากมาก” เขาเล่าและผมก็เห็นด้วย โดยเฉพาะการทำสีของเซรามิกให้สม่ำเสมอทั้งชิ้นยิ่งเป็นเรื่องยาก “เราเคยทำมาหลายสี แต่สีแดงเป็นสีที่ทำได้ยากที่สุด ผมคิดว่าหลายแบรนด์คงอยากทำ แต่เป็นเรื่องยาก โรงงานเราสามารถผลิตเซรามิกสีแดงสดได้ และเราก็จดสิทธิบัตรแล้ว และเราก็ยังจะพัฒนาสีอื่นๆ อีกในอนาคต”

          “อีกสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ก็คือ E-Warrantee เราพยายามสร้างสิ่งใหม่ที่แตกต่าง เราจะเป็นผู้นำในโลกดิจิทัล และเป็นแบรนด์แรกๆ ที่มาพร้อมใบรับประกันอิเล็กทรอนิกส์ที่จะระบุตัวตนของนาฬิกาได้จากภาพของนาฬิกา ระบุได้ถึงรายละเอียดของวัสดุและหมายเลขด้วยแอปพลิเคชันของเราทำให้เราสามารถทำได้จริง มันเป็นเหมือหนังสือเดินทางของนาฬิกาที่จะบอกถึงขั้นตอนการผลิตรวมไปถึงการบันทึกข้อมูลต่างๆ การเปลี่ยนมือหรือการซ่อมแซม ทุกอย่างจะอยู่ในนี้ทั้งหมด
ข้อมูลเหล่านี้จะอยู่ Blockchain ที่พัฒนาโดย LVMH Group ที่เรียกว่า Aura ที่จะเก็บข้อมูลรายละเอียดนาฬิกาแต่ละเรือนไว้ตลอดชีวิต” CEO ของ Hublot เล่าอย่างกระตือรือร้น และ Hublot ก็เคยเปิดตัวนาฬิกาฉลองครบรอบ 10 ปีให้กับ Bitcoin ที่ฮ่องกงมาแล้วเมื่อสองปีก่อน “นาฬิกา BIG BANG Bitcoin เราให้ชำระเงินด้วยบิทคอยน์ และผลิตจำกัดแค่ 200 เรือน ซึ่งขายหมดในตอนนั้น นั่นเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเรา และตอนนี้เราก้าวเข้าสู่พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเรากำลังพัฒนาเพื่อรองรับการชำระเงินด้วยเหรียญดิจิทัลในสกุลคริปโตผ่านเว็บไซต์ของเรา ผมหวังว่าจะทำได้ปลายในสิ้นปีนี้”ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พัฒนาอย่างรวดเร็ว จากแรงบีบของการระบาดของไวรัสในวิกฤติก็ยังมีโอกาสอย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ