Last updated: 26 ธ.ค. 2567 | 159 จำนวนผู้เข้าชม |
ปี 2024 นับเป็นปีที่ A. Lange & Söhne ได้เฉลิมฉลองวาระสำคัญถึง 2 วาระ ทั้งโอกาสครบรอบ 25 ปีของคอลเลกชัน Datograph ซึ่งเพิ่งจะจัดนิทรรศการพิเศษในบ้านเราไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาและล่าสุดกับโอกาสครบรอบ 30 ปีของคอลเลกชัน Lange 1 ที่ทางแบรนด์ได้จัดอีเว้นท์พิเศษเพื่อนำเสนอคอลเลกชันเรือนเวลา Lange 1 และ Little Lange 1 รุ่นพิเศษจำนวนจำกัดเพื่อโอกาสนี้ โดยเฉพาะ Mr. Nicolas Gong กรรมการผู้จัดการ A. Lange & Söhne ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้เดินทางมาร่วมอีเว้นท์นี้ด้วย ซึ่งเขาได้พูดคุยไม่เพียงเรื่องราวของการเฉลิมฉลองปีนี้เท่านั้น แต่เรายังได้พูดคุยถึงมุมมองการบริหารงานสำหรับภูมิภาคนี้ รวมถึงยังได้แง้มเซอร์ไพรส์สำหรับปีหน้าไว้เล็กน้อยด้วย
จากที่เราทราบมา A. Lange & Söhne น่าจะเป็นแบรนด์นาฬิกาแบรนด์แรกที่คุณได้ร่วมงานด้วย อยากทราบว่าทำไมคุณถึงตัดสินใจร่วมงานกับแบรนด์นาฬิกานี้?
ต้องกล่าวว่าผมมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์นาฬิกามาก่อนจากแบรนด์ Louis Vuitton แต่ก็เป็นอะไรที่มีความแตกต่างกันหากเปรียบเทียบในมุมมองของการผลิตนาฬิกา สำหรับการตัดสินใจร่วมงานกับแบรนด์ ผมตัดสินใจจาก 3 ปัจจัยหลักที่มีความสำคัญ ได้แก่ มรดกของแบรนด์ การมีเรื่องราว คติ และดีเอ็นเอของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และการมีผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ เรื่องของตลาดที่ตัวเราต้องดูแลซึ่งการได้รับผิดชอบแบรนด์ที่มีคุณสมบัติที่กล่าวมาย่อมมีศักยภาพสูงในการผลักดันและพัฒนาแบรนด์ไปได้ และสุดท้ายความไว้วางใจจากสำนักงานใหญ่ที่มอบให้กับเรา ทั้งในการให้ความเป็นอิสระและความยืดหยุ่น รวมไปถึงการปรับตัวให้เข้ากับการตลาด
คุณคิดว่า A. Lange & Söhne มีความโดดเด่นอย่างไร?
A. Lange & Söhne มีความโดดเด่นจากจำนวนการผลิตที่จำกัด ทำให้มีผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนไม่มากนัก ที่ในปีหนึ่งผลิตนาฬิกาเพียงไม่กี่พันเรือน อีกทั้งยังมีการนำเสนองานฝีมือในการตกแต่งต่างๆ อย่าง การขัดพื้นผิว การแกะสลัก ที่ไม่ค่อยพบเห็นแบรนด์นาฬิกาไหนที่ทำได้แบบนี้ ในขณะเดียวกันแบรนด์เองก็มีประวัติศาสตร์และปรัชญาการผลิตนาฬิกาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว A. Lange & Söhne ก่อตั้งในปี 1845 โดย Ferdinand Adolph Lange และกลับมาอีกครั้งในปี 1990 โดยทายาทผู้เป็นเหลนของผู้ก่อตั้งเอง อย่าง Walter Lange ซึ่งในขณะนั้นก็มีอายุ 67 ปีแล้ว เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า นี่คือแบรนด์ที่เกิดขึ้นด้วยตระกูลที่มีใจรักในการผลิตนาฬิกาอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้ทำให้แบรนด์มีเอกลักษณ์เฉพาะที่ชัดเจน
ปีนี้เป็นปีที่ A. Lange & Söhne ฉลองโอกาสพิเศษให้กับนาฬิกาถึงสองคอลเลกชันด้วยกัน อยากให้คุณบอกเล่าเกี่ยวกับนาฬิกาทั้งสองคอลเลกชันสักเล็กน้อย?
ใช่ครับ ปีนี้เราได้ฉลองให้กับคอลเลกชัน Lange 1 และ Datograph สำหรับ Lange 1 เราฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปี โดยนาฬิการุ่นนี้เป็นนาฬิกาที่เราเปิดตัวขึ้นพร้อมกับการเปิดตัวแบรนด์ในปี 1994 และได้กลายเป็นคอลเลกชันไอคอนิกไม่เพียงสำหรับเรา แต่รวมไปถึงอุตสาหกรรมนาฬิกาด้วย เนื่องจากเป็นนาฬิกาที่นำเสนอนวัตกรรมใหม่ในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็น ดีไซน์การวางเลย์เอาท์หน้าปัดแบบเยื้องศูนย์กลาง การนำเสนอการแสดงวันที่แบบ big date เป็นต้น ส่วน Datograph ก็เป็นเรือนเวลาที่สำคัญอีกเรือนของเรา เนื่องจากทำให้เรามีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้นในอุตสาหกรรม เป็นนาฬิกาที่เปิดตัวครั้งแรกปี 1999 หลังการเปิดตัวแบรนด์ในอีกสี่ปี และออกมาในช่วงหลังจากช่วงวิกฤติการณ์กลไกควอตซ์ ซึ่งในตอนนั้นไม่ค่อยมีนาฬิกาที่มีกลไกที่ได้รับการตกแต่งด้วยมืออย่างประณีต รวมถึงยังเป็นนาฬิกากลไกจักรกลระบบโครโนกราฟ ซึ่งทางแบรนด์ต้องใช้เวลาในการพัฒนาก่อนเปิดตัวถึง 5 ปี เนื่องด้วยระบบโครโนกราฟเป็นกลไกที่มีความสลับซับซ้อน
คุณคิดอย่างไรกับตลาดนาฬิกาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้?
ผมคิดว่าเป็นตลาดที่มีความผสมผสานทั้งตลาดที่มีความจริงจังและซับซ้อนอย่างในสิงคโปร์ และตลาดที่มีความใหม่อย่างประเทศไทย รวมถึงตลาดที่เรายังไม่เคยเปิดตัวอย่างในออสเตรเลีย ในส่วนของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจจะไม่ได้เน้นการเปิดบูติกในประเทศเหล่านั้น เนื่องด้วยผลิตภัณฑ์ของเราค่อนข้างจำกัด เราจึงเน้นไปที่การสร้างเครือข่ายมากกว่า เบื้องต้นคือสิงคโปร์และกรุงเทพฯ จะเป็นตลาดที่สามารถครอบคลุมไปถึงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ด้วย ดังนั้นในเรื่องของการค้าปลีกเราจึงเน้นการวางกลยุทธ์ที่การวางเครือข่ายที่รวมจุดศูนย์กลางไว้ มากกว่าที่จะเจาะจงไปที่ตลาดแต่ละแห่ง สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรามีบูติกที่สิงคโปร์ โดยเราจะทำการอัปเกรดให้เป็นร้านสองชั้นในปีหน้า และสำหรับกรุงเทพฯ เราจะเน้นที่บูติกหนึ่งเดียวของเราเช่นกัน โดยเราก็กำลังมองหาโอกาสในการขยายหรืออัปเกรดในปีต่อๆ ไป และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในส่วนของตลาดออสเตรเลียเรามีแผนที่จะเปิดบูติกขนาดใหญ่ในซิดนีย์ในปีหน้าอีกด้วย
สำหรับกลยุทธ์การสื่อสารสำหรับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างไร?
ผมคิดว่าเนื่องจากภูมิภาคเอเชียเป็นประเทศที่มีผู้คนให้ความสนใจในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก ดังนั้นเราจึงต้องแบ่งปันเรื่องราวของแบรนด์ให้มากขึ้นในแง่ต่างๆ และให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ไม่ว่าจะเป็น ที่มา ผู้ก่อตั้ง และการเริ่มต้นใหม่ของแบรนด์อีกครั้ง ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องบอกเล่า แต่เราจำเป็นต้องดูว่าแต่ละพื้นที่เหมาะกับแพลตฟอร์มไหน อีกทั้งยังต้องดูกลุ่มลูกค้าว่าเป็นวัยใด เช่นกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ เราก็จะต้องเลือกวิธีการสื่อสารที่มีความทันสมัยและสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นผมคิดว่าช่องทางของสื่อนั้นค่อนข้างแตกต่างกันในแต่ละหมวดหมู่
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของคุณที่มีต่ออีก 5 ปีข้างหน้าอย่างไรบ้าง?
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือการระบาดของ COVID 19 ซึ่งส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมนาฬิกาค่อนข้างมาก เพราะในช่วงที่เกิด COVID อุตสาหกรรมนาฬิกาได้ชะลอตัวลงในช่วงไม่กี่เดือนแรกเนื่องจากการล็อกดาวน์ การควบคุมโรค เป็นต้น จากนั้นก็เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้คนนิยมซื้อนาฬิกามากขึ้น และตอนนี้ก็เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับแบรนด์แต่ละแบรนด์ว่าลูกค้าจะยังคงให้ความสนใจมากน้อยแค่ไหน สำหรับในอีก 5 ปีข้างหน้า ผมคิดว่าเศรษฐกิจยังคงไม่แน่นอนอยู่พอสมควร ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่รวมถึงในประเทศจีนด้วย
นอกจากนี้ยังมีภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ เช่นกัน กล่าวว่าปัจจัยภายนอกอีกมากมายยังคงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมนาฬิกาได้ สำหรับ A. Lange & Söhne เรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแง่ของปริมาณ ด้านนวัตกรรมนาฬิกา ในแง่ของการมีส่วนร่วมกับลูกค้า การรวมเครือข่าย และปรับปรุงประสบการณ์ของเรา เป็นต้น เราคิดว่าเรามีศักยภาพอีกมากมายที่สามารถปรับตัวไปกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้
ขอถามถึงปีหน้าว่าจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์เราบ้างไหม?
ยังไม่สามารถบอกได้ครับ ทั้งนี้ต้องกล่าวว่าเรากลับมาในปี 1994 จนถึงวันนี้เรามีกลไก in-house ถึงหมด 73 เครื่อง และผมคิดว่าปีหน้าก็น่าจะมีอะไรให้เซอร์ไพรส์กัน เพราะตรงกับโอกาสครบรอบ 180 ปีของแบรนด์ด้วย
26 ธ.ค. 2567
26 ธ.ค. 2567
26 ธ.ค. 2567
26 ธ.ค. 2567